โบรกจี้ 'กรุ๊ปลีส' แจงข้อมูลเพิ่ม

โบรกจี้ 'กรุ๊ปลีส' แจงข้อมูลเพิ่ม

โบรกจี้กรุ๊ปลีส "แจงข้อมูลเพิ่ม" ตลาดเร่งตรวจสอบเตือนผู้ลงทุนต้องดูแลตัวเอง บริษัทงัดแผนซื้อหุ้นคืนหนุนแรงซื้อดันหุ้นพุ่งชนซิลลิ่ง

นักวิเคราะห์จี้กรุ๊ปลีสแจงเพิ่ม โดยเฉพาะข้อมูลผู้กู้เงินและการตีมูลค่าธุรกิจศรีลังกา ด้านตลาดหลักทรัพย์อยู่ระหว่างตรวจสอบข้อมูลเตือนผู้ลงทุนหากจะร่วมวงต้องดูแลตัวเอง ส่วนกรุ๊ปลีสงัดแผนซื้อหุ้นคืนเรียกเชื่อมั่น ส่งผลให้แรงซื้อทะลักหนุนหุ้นชนเพดาน

บริษัทกรุ๊ปลีส จำกัด(มหาชน)GLได้ชี้แจงกรณีที่ผู้สอบบัญชีตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับการปล่อยกู้ให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs ในประเทศกัมพูชา โดยผ่านบริษัทย่อยในสิงคโปร์ โดยปล่อยกู้ต่อให้กลุ่มไซปรัสและสิงคโปร์

นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์เอเชีย เวลท์ กล่าวว่า คำชี้แจงของบริษัทยังไม่ได้ทำให้เกิดความมั่นใจ เพราะยังไม่มีความชัดเจนในหลายส่วน โดยเฉพาะในข้อมูลของผู้ที่กู้เงิน ที่ยังไม่เพียงพอต่อการวิเคราะห์ โดยเฉพาะการได้เป็นตัวแทนการจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้า รวมถึงการให้ข้อมูลการเข้าซื้อกิจการในประเทศศรีลังกาซึ่งการตีมูลค่ามีความเหมาะสมหรือไม่

อย่างไรก็ตามสิ่งที่ บริษัทต้องเร่งดำเนินการ นอกจากการชี้แจงรายละเอียดลูกหนี้ให้มากขึ้นแล้ว บริษัทยังต้องเร่งการนำหลักทรัพย์ค้ำประกันจากมูลค่าหุ้นของบริษัทเข้ามาด้วย รวมถึงการตั้งสำรองกับหนี้ที่เผื่อสงสัยจะสูญ โดยบริษัทต้องเร่งดำเนินการโดยเร็วที่สุด เพื่อสร้างความมั่นใจกับผู้ถือหุ้น ส่วนคำแนะนำนักลงทุนต่อการลงทุนนั้น มองว่านักลงทุนควรชะลอการลงทุนออกไปก่อน

แหล่งข่าวจากบล.เปิดเผยว่า จากความไม่มั่นใจในการทำธุรกิจของบริษัทนั้น ทำให้มีนักวิเคราะห์ของบล.2-3 รายได้หยุดทำการวิเคราะห์หุ้นดังกล่าวเพื่อป้องกันความเสียหายกับผู้ลงทุน

นางเกศรา มัญชุศรี กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ กล่าวว่า จากกรณีที่ บริษัท กรุ๊ปลีสชี้แจงข้อมูลนั้น ทางตลาดหลักทรัพย์อยู่ระหว่างการพิจารณาข้อมูล ในเบื้องต้นยังไม่สามารถเปิดเผยได้ แต่หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติม อาจจะต้องสอบถามกับบริษัทอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม นักลงทุนต้องนำข้อมูลดังกล่าวมาพิจารณาประกอบการตัดสินใจด้วยตัวเอง

นาย มิทซึจิ โคโนชิตะ ประธานกรรมการ บริษัท กรุ๊ปลีส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าบริษัทอยู่ระหว่างการพิจารณาการรับซื้อหุ้นของบริษัทคืนหลังจากที่ราคาหุ้นปรับตัวลดลงไปมาก โดยปัจจุบันบริษัทมีเงินสดกว่า 2,500 ล้านบาท ที่พร้อมจะดำเนินการ ซึ่งต้องรอการตัดสินใจอีกครั้ง

“การรับซื้อหุ้นคืนเป็นหนึ่งในตัวเลือกของบริษัทที่พิจารณาอยู่ว่าจะดำเนินการหรือไม่ ซึ่งบริษัทมีกระแสเงินสดที่พร้อมอยู่แล้ว ทั้งนี้ในส่วนตัว ไม่สามารถเข้าไปซื้อหุ้นของบริษัทได้เพิ่มเติม เนื่องจากติดเกณฑ์ที่จะต้องทำเทนเดอร์ออฟเฟอร์”

ทั้งนี้เมื่อราคาหุ้นกรุ๊ปลีสร่วงหนัก ทำให้เจทรัสต์ ซึ่งเป็นพันธมิตรของบริษัท และเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นญี่ปุ่น มีแผนที่จะซื้อหุ้นของกรุ๊ปลีสเพิ่ม จากปัจจุบันถืออยู่ 6.5% ซึ่งขณะนี้บริษัทเจทรัสต์อยู่ระหว่างปรึกษา สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ญี่ปุ่น พิจารณาว่าสามารถซื้อหุ้นได้หรือไม่ เพราะกังวลว่าจะเป็นการอินไซด์ข้อมูล เนื่องจากการเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกัน แต่ก่อนหน้านี้ บริษัทดังกล่าวได้ซื้อใบสำคัญแสดงสิทธิ (วอร์แรนท์)ของกรุ๊ปลีสจำนวน 8.1 ล้านหน่วย

สำหรับข้อสงสัยการปล่อยกู้ให้กับผู้กู้ทั้ง 2 ราย ทั้งในสิงคโปร์ 56 ล้านดอลลาร์ และ กลุ่มไซปรัส ที่ 41 ล้านดอลลาร์ ที่มีการนำหุ้นของบริษัทมาค้ำประกันนั้น บริษัทชี้แจงว่า บริษัทไม่ได้มีความเชื่อมโยงใดๆกับทั้ง 2 บริษัทเป็นเพียงพันธมิตรทางธุรกิจเท่านั้น และมีการระบุไว้ในงบการเงินอย่างชัดเจนตั้งแต่ช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2558 โดยรายได้จากดอกเบี้ยของทั้ง 2 บริษัทคิดเป็น 16 % ของรายได้รวมซึ่งการนำหุ้นของบริษัทมาค้ำประกันนั้นเป็นสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูง ทั้งนี้หลังจากที่หุ้นร่วง บริษัทได้เรียกหลักประกันเพิ่มเติม ซึ่งผู้กู้เข้าใจ และพร้อมที่จะนำสินทรัพย์เข้ามาเพิ่ม คือที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง

ส่วนกรณีกรุ๊ปลีสได้ซื้อหุ้น บริษัท Commercial Credit & Finance (CCF) ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ประเทศศรีลังกา 29.99 % เป็นการเข้าถือหุ้นในระยะยาว ซึ่งปัจจุบันราคาหุ้นของ CCF ปรับตัวลดลงมาก แต่บริษัทไม่จำเป็นต้องบันทึกด้อยค่าจากราคาหุ้นลงมา ซึ่งเป็นไปตามมาตรฐานบัญชีทั่วโลก กรณีการตั้งด้อยค่าการลงทุน จะตั้งเฉพาะกรณีที่บริษัทที่เข้าไปลงทุนมีผลขาดทุนเท่านั้น

“เราไม่ต้องบันทึกด้อยค่าเงินลงทุนที่เข้าไปถือหุ้น CCF ที่ราคาหุ้นลดลงกว่าที่เราเข้าไปซื้อ เพราะตามมาตรฐานบัญชีทั่วโลก ไม่บันทึกกัน แม้ราคาหุ้นขึ้น หรือราคาหุ้นลง ไม่มีผู้สอบบัญชีที่ไหนที่เดินเข้ามาบอกให้บันทึกด้อยค่าการลงทุนเพราะราคาหุ้นลง แต่จะให้บันทึกด้อยค่าต่อเมื่อบริษัทมีผลขาดทุนเท่านั้น ซึ่งผลการดำเนินงานของ CCF ปี 2559 ดีกว่าที่ประมาณการไว้ ”

ส่วนราคาหุ้นล่าสุด ปิดตลาดที่ราคา 23บาท เพิ่มขึ้น 29.94%มูลค่าการซื้อขาย 8.25 พันล้านบาท