ชิค รีพับบลิคปั้นแบรนด์ “RINA HEY”จับคนรุ่นใหม่

ชิค รีพับบลิคปั้นแบรนด์ “RINA HEY”จับคนรุ่นใหม่

เปิดแผนธุรกิจ‘ชิค รีพับบลิค’ ปี60 ปรับกลยุทธ์สู่ตลาดระดับกลางบน เดินหน้าปั้นแบรนด์ใหม่ “RINA HEY” ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่

นายกิจจา ปัทมสัตยาสนธิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ชิค รีพับบลิค จำกัด โฮมแฟชั่นสโตร์ เปิดเผยถึงทิศทางธุรกิจปี 2560 ว่ามั่นใจในการเติบโตของตลาดเฟอร์นิเจอร์ไทยและโฮมแฟชั่นสโตร์ระดับกลางบน แม้ว่าภาวะเศรษฐกิจโดยรวมยังคงซบเซา แต่ด้วยกลุ่มลูกค้าที่มีความชัดเจนของแบรนด์ชิค รีพับบลิค เป็นกลุ่มที่ยังคงมีกำลังซื้อพร้อมจับจ่ายใช้สอย และยังมองเห็นโอกาสจากแผนงานและนโยบายทางธุรกิจของผู้พัฒนาที่อยู่อาศัยรายใหญ่ที่เริ่มปรับกลยุทธ์การพัฒนาโครงการสู่ตลาดระดับกลางบนมากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงด้านกำลังซื้อ และปัญหาการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงิน ซึ่งการปรับตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์นี้ถือเป็นกลุ่มลูกค้าเป้าหมายโดยตรงของบริษัท

ปี 2560มุ่งเน้นกลยุทธ์การมอบความคุ้มค่ายิ่งกว่าราคาจ่าย หรือ Value for Money ให้กับลูกค้า และเน้นการสร้างแรงบันดาลใจและมอบประสบการณ์ใหม่ ส่งมอบผ่านเรื่องราวของสินค้าแต่ละประเภทให้ลูกค้าได้รับรู้ จึงนับว่าตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายหลักของบริษัทในทุกสภาวการณ์เศรษฐกิจ จึงทำให้ในช่วง 3-5ปีที่ผ่านมายอดขายเติบโตเฉลี่ย 15-20 % ขณะที่ปีนี้ ตั้งเป้าหมายเติบโตเพิ่มขึ้น 5-10 % จากยอดขาย 860 ล้านบาทในปี 2559

นอกจากนี้ได้เปิดตัวแบรนด์ใหม่ ริน่า เฮย์ (RINA HEY) แบรนด์เฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านในสไตล์ “อินดัสเตรียล ลอฟท์” (Industrial Loft) ซึ่งเริ่มรับรู้รายได้เต็มปีในปีนี้เช่นเดียวกัน โดยตลาดของ ริน่า เฮย์ จะรองรับตลาดกลุ่มคนรุ่นใหม่ วัยเริ่มทำงาน และกลุ่มคนที่เริ่มสร้างครอบครัว ที่มีความเป็นตัวเอง บ่งบอกเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ชัดเจนอย่างยิ่งขึ้น ซึ่งสามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยของคนรุ่นใหม่ที่มีพื้นที่จำกัด อาทิ บ้าน ทาวน์เฮ้าส์ขนาดเล็ก หรือคอนโดมิเนียมที่มีพื้นที่เล็กลง หรือที่อยู่อาศัยแนวโมเดิร์นสมัยใหม่ ซึ่งขนาดสินค้ากระทัดรัด เน้นเอกลักษณ์การดีไซน์ในสไตล์ที่แตกต่าง และคงรักษาคุณภาพสินค้าตามแนวคอนเซปต์ความคุ้มค่ายิ่งกว่าราคาจ่าย (Value for Money) ยึดหลักการสร้างแรงบันดาลใจ และประสบการณ์ใหม่ (Inspiration & Experience) ให้กับลูกค้าเช่นเดียวกัน

“เราตั้งใจผลักดันแบรนด์ ริน่า เฮย์ ให้มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน ทั้งแผนการตลาดและแผนการลงทุนที่แยกจากแบรนด์ ชิค รีพับบลิค เพื่อมุ่งสร้างแบรนด์ให้สามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งในระยะยาว”

โดยไตรมาส2 ปีนี้ จะเพิ่มพื้นที่ขายสินค้าแบรนด์ ริน่า เฮย์ ให้ครบทุกสาขาที่มีอยู่อีก 3 แห่ง ได้แก่ สาขาประดิษฐ์มนูธรรม (เลียบทางด่วนเอกมัย-รามอินทรา), สาขาบางนา (บางนา-ตราด กม. 4) และสาขาพัทยา (เยื้องบิ๊กซีพัทยาใต้) และในอนาคตเตรียมแผนพัฒนาเพื่อเปิด Stand Alone Store เฉพาะแบรนด์ ริน่า เฮย์ เพิ่มขึ้นอีกในอีกหลายทำเล โดยมุ่งสู่พื้นที่หัวเมืองใหญ่ที่มีกำลังซื้อสูงเป็นหลัก

สำหรับการทำตลาดแบรนด์ ริน่า เฮย์ ซึ่งเป็นแบรนด์ที่เกาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีเอกลักษณ์และไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตแบบเฉพาะตัว จึงมุ่งเน้นแผนการตลาดแบบดิจิทัล (Digital Marketing) และการทำการตลาดแบบออนไลน์ (Online Marketing) โดยปัจจุบันได้เริ่มพัฒนาสื่อ Social Media อาทิ Facebook Instagram และ Line@ เป็นต้น และในเดือนกรกฎาคมนี้ มีแผนจะพัฒนาเว็บไซต์ และอีคอมเมิร์ซ เพื่อเป็นช่องทางให้คนรู้จักแบรนด์ ริน่า เฮย์ มากยิ่งขึ้น โดยบริษัทจะบุกตลาดออนไลน์แบบเต็มตัวภายในปี 2560 นี้

ขณะที่แบรนด์ ชิค รีพับบลิค จะเดินหน้าบุกแผนการตลาดแบบ Digital Online ปัจจุบันได้เพิ่มช่องทางติดต่อกับกลุ่มลูกค้าทางสื่อ Facebook และ Social Media อื่นๆ เพื่อกระชับการสื่อสารระหว่างลูกค้ากับบริษัทมากขึ้น และเดินหน้าพัฒนาสู่การทำสู่อีคอมเมิร์ซในเดือนมิถุนายนนี้ ซึ่งในระยะแรกยังไม่ได้คาดหวังยอดขายจากการทำอีคอมเมิร์ซ แต่มุ่งหวังให้เป็นอีกช่องทางหนึ่งที่ทำให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงรายละเอียดสินค้า แหล่งที่มาและเรื่องราวของสินค้าแต่ละประเภทของ ชิค รีพับบลิคมากขึ้น

ทั้งนี้ บริษัทเตรียมจะขยายสาขาเพิ่มในพื้นที่ทำเลศักยภาพในกรุงเทพฯ อีก 1 สาขา และตั้งเป้าจะขยายสาขาในต่างประเทศให้ได้ตามแผนที่เคยกำหนดไว้ โดยคาดว่าจะใช้งบลงทุนต่อสาขาประมาณ 300 – 400 ล้านบาท

บริษัทยังมีแผนขยายฐานลูกค้าโครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับไฮเอนด์เพิ่มขึ้น โดยตั้งเป้าสัดส่วนรายได้ในส่วนนี้อยู่ระดับประมาณ 25-30 % และลูกค้าส่วนค้าปลีกอยู่ที่ระดับประมาณ 75% โดยบริษัทอยู่ระหว่างการเจรจากับผู้ประกอบการรายใหญ่ที่สนใจเลือกเฟอร์นิเจอร์ที่มีแฟชั่นไลฟ์สไตล์ที่มีเอกลักษณ์ เพื่อตกแต่งห้องให้กับลูกค้า โดยปัจจุบันบริษัทมีลูกค้าโครงการแบรนด์ใหญ่มากมาย อาทิ โครงการทอสคาน่า เขาใหญ่, แสนสิริ, แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์, แกรนด์ ยูนิตี้ ดีเวลลอปเมนท์, เอพี, เอสซี แอสเสท และ โกลเด้น แลนด์ เป็นต้น