ดีเอชแอลชิงที่1อีคอมเมิร์ซโลจิสติกส์

ดีเอชแอลชิงที่1อีคอมเมิร์ซโลจิสติกส์

เพิ่มลงทุนในไทยหลังเห็นเทรนด์โตอันดับ 2 ภูมิภาค หวังขึ้นผู้นำปี63

“ดีเอชแอล” สบช่องอีคอมเมิร์ซไทยโตก้าวกระโดด ปักธงขยายการลงทุนสยายปีกเครือข่ายกระจายสินค้า-ยกระดับบริการหนุนเอสเอ็มอีโกอินเตอร์ ตั้งเป้าปี 2563 ขึ้นแท่นผู้นำตลาดโลจิสติกส์อีคอมเมิร์ซไทย-ทั่วโลก

นายชาร์ลส์ บรูเออร์ ประธานกรรมการบริหาร ดีเอชแอล อีคอมเมิร์ซ ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ชั้นนำ กล่าวว่า มีแผนขยายการลงทุนในประเทศไทย โดยเฉพาะเครือข่ายการกระจายสินค้าให้ครอบคลุมทุกภูมิภาคทั่วประเทศ

ทั้งนี้ รองรับอุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซไทยที่เติบโตแบบก้าวกระโดด คาดการณ์ไว้ว่าภายในปี 2563 จะขยายตัวเพิ่มขึ้น 3 เท่า หรือมีมูลค่าประมาณ 1.4 แสนล้านบาท ส่วนมูลค่าตลาดโลจิสติกส์สำหรับอีคอมเมิร์ซจะอยู่ที่ประมาณ 10% ของมูลค่ารวมอีคอมเมิร์ซ

“ไทยเป็นตลาดโตเร็ว มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งมีโอกาสเติบโตได้อีกมากจากปัจจุบันที่สัดส่วนการจับจ่ายสินค้าบนออนไลน์มีอยู่เพียง 2% ของตลาดรวมค้าปลีก”

บริษัทมุ่งขยายการลงทุนในตลาดที่มีขนาดใหญ่ โตเร็ว ภายในปี 2563 ต้องการก้าวสู่การเป็นผู้นำในธุรกิจอีคอมเมิร์ซโลจิสติกส์ในไทยรวมถึงระดับโลก

กลยุทธ์ที่จะสร้างความสำเร็จ เน้นการอบรมพัฒนาศักยภาพบุคลากรให้มีความเชี่ยวชาญ นำเสนอบริการที่ดีในราคาที่สมเหตุสมผล ขณะเดียวกันให้ความสำคัญกับการให้บริการลูกค้า การบริการ สร้างประสบการณ์ที่ดี พร้อมดึงจุดแข็งที่มีอยู่มาใช้ให้เกิดประโยชน์มากที่สุด

นอกจากนี้ ร่วมสนับสนุนนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ของรัฐบาล พร้อมผลักดันให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยสามารถขยายตลาดไปสู่ต่างประเทศ

ที่ผ่านมา ดีเอชแอลอีคอมเมิร์ซ เข้ามาลงทุนทั้งบุคลากร บริการชำระเงิน ศูนย์บริการลูกค้า การนำไอทีมาช่วยบริหารจัดการคำสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ ศูนย์การกระจายสินค้า ยานพาหนะสำหรับจัดส่ง เครือข่ายการกระจายสินค้า ปัจจุบันมีศูนย์การกระจายสินค้าขนาด 3,222 ตารางเมตรในกทม. และศูนย์การกระจายสินค้าที่สามารถรองรับการจัดส่งสินค้าได้กว่า 15 ล้านรายการในแต่ละปี

นายเกียรติชัย พิตรปรีชา กรรมการผู้จัดการ ดีเอชแอล อีคอมเมิร์ซ ประเทศไทย กล่าวว่า อีคอมเมิร์ซไทยมีแนวโน้มเติบโตเฉลี่ยปีละ 22% กระทั่งถึงปี 2563 หรือ คิดเป็น 3 เท่าจากปี 2557 ที่น่าสนใจตลาดต่างจังหวัดโตได้สูงกว่ากทม.เฉลี่ยที่ 30-35%

บริษัทคาดว่าเมื่อถึงปี 2563 อีคอมเมิร์ซไทยยังสามารถโตได้อีก 5-6 เท่า ปัจจัยสำคัญมาจากธุรกิจเอสเอ็มอีซึ่งปัจจุบันมี 2.7 ล้านราย คิดเป็นสัดส่วน 98.5% ของธุรกิจทั้งประเทศ

จากปัจจุบันมีผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ซอยู่ 3-4 หมื่นราย นโยบายดิจิทัลไทยแลนด์จะมีส่วนสำคัญช่วยผลักดันให้ใน 3-5 ปีข้างหน้าจำนวนเพิ่มขึ้นอีกไม่น้อยกว่า 3 หมื่นราย อีกปัจจัยบวกยังมีการพัฒนาเพย์เมนท์เกตเวย์

ยกระดับบริการในพื้นที่ห่างไกล
ดีเอชแอลยังจะเพิ่มการลงทุน โดยเฉพาะด้านขยายและเสริมเครือข่ายการกระจายสินค้า ยกระดับการบริการในพื้นที่ห่างไกลกว่า 90% ให้สามารถรับสินค้าได้ในวันถัดไป พร้อมขยายฐานตลาดกลุ่มลูกค้าเอสเอ็มอี เอื้อต่อการทำธุรกิจทั้งรูปแบบบีทูซี บีทูบี

โซลูชั่นที่เตรียมไว้มีทั้งการชำระเงินปลายทาง ติดตามสถานะสินค้า บริการลูกค้า รายงานผลลัพธ์ทางธุรกิจ รวมถึงรับสินค้าถึงที่ และส่งพัสดุระหว่างประเทศสำหรับรายที่ต้องการทำตลาดต่างประเทศ

ทุกวันนี้ผู้บริโภคมีความต้องการที่เพิ่มมากขึ้นทั้งเรื่องความคุ้มค่า ความสมเหตุสมผลราคาค่าบริการ รวมไปถึงคุณภาพการบริหารจัดการด้านโลจิสติกส์

ปัจจุบัน ผู้เล่นในตลาดมีไม่เกิน 10 ราย แต่ละรายมียุทธศาสตร์ธุรกิจต่างกัน ส่วนของสินค้ายอดนิยมประกอบด้วยแฟชั่น เสื่อผ้า รองเท้า เครื่องประดับ กระเป๋า ไอทีและแกดเจ็ท

อีคอมเมิร์ซระหว่างประเทศมีโอกาสเติบโตได้สูงกว่าตลาดค้าปลีกรูปแบบเดิมๆ หรือเฉลี่ยเติบโต 25% ต่อเนื่องทุกปี มีการคาดการณ์ไว้ด้วยว่า ปี 2563 อีคอมเมิร์ซรูปแบบบีทูซีระหว่างประเทศจะมีขนาดใหญ่ถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์ และไทยเป็นหนึ่งในตลาดที่โตได้เร็ว