ททท.จับมือสิงคโปร์แอร์ไลน์สดันโอเชียเนียแตะ‘ล้านคน’

ททท.จับมือสิงคโปร์แอร์ไลน์สดันโอเชียเนียแตะ‘ล้านคน’

ททท.ลุยฟื้นตลาดโอเชียเนีย จับมือสิงคโปร์แอร์ไลน์สเซ็นเอ็มโอยู หวังผล 2 ปีดันยอดนักท่องเที่ยวทะลุ 1 ล้านคน คู่ขนานแผนดันแอฟริกาแตะ 1 แสนคน

นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า จากการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (เอ็มโอยู) เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวกับสิงคโปร์ แอร์ไลน์ส เมื่อวันที่ 27 ก.พ.2560 ตั้งเป้าหมายส่งเสริมตลาดสิงคโปร์, ออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์ แอฟริกาใต้ ให้เติบโตต่อเนื่อง

โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากโอเชียเนีย ที่ประกอบด้วย ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ในปี 2559 ประสบภาวะชะลอตัวและยังมีปัญหาการขาดแคลนเที่ยวบินตรงเข้าสู่แหล่งท่องเที่ยวที่นิยมของคนในตลาดนี้ เช่น ภูเก็ต เกาะสมุย อยู่แล้ว ดังนั้นประเมินว่าในการร่วมมือส่งเสริมการตลาดร่วมกันครั้งนี้ ไทยจะสามารถใช้เครือข่ายของสิงคโปร์ แอร์ไลน์ส ที่เชื่อมต่อจาก 10 เมือง แบ่งเป็น 7 เมืองในออสเตรเลีย ได้แก่ เพิร์ธ, แคนเบอร์รา, ซิดนีย, บริสเบน, ดาร์วิน, อะดีเลด, เมลเบิร์น และ 3 เมืองในนิวซีแลนด์ ได้แก่ โอคแลนด์, ไครส์เชิร์ช และเวลลิงตัน มาช่วยเสริมต่อกับเครือข่ายเส้นทางที่มีบินตรงเข้าไทยอยู่แล้วกว่า 90 เที่ยวบิน/สัปดาห์ ทั้งจากสิงคโปร์ แอร์ไลน์ส และ 3 สายการบินลูก ได้แก่ สกู๊ต, ไทเกอร์ แอร์ และซิลค์ แอร์

ทั้งนี้ ในปี 2559 ตลาดโอเชียเนียได้ทางมาไทย 9 แสนคน ติดลบ 1.8% แต่เมื่อสิ้นสุดการทำงานภายใต้เอ็มโอยูระยะ 2 ปีนี้ คาดมีจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มเป็น 1 ล้านคนได้ โดยถือเป็นการเพิ่มกำลังซื้อกลุ่มคุณภาพ เนื่องจากตลาดโอเชียเนียมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยรวมสูงติดอันดับต้น วันพักเฉลี่ยอยู่ที่ 13 วัน โดยออสเตรเลียใช้จ่ายเฉลี่ยที่ 6,157 บาท/วัน และนิวซีแลนด์ 5,031 บาท/วัน และนักท่องเที่ยวนิยมเดินทางมาหาดทรายชายทะเลของไทยอยู่แล้ว

ดังนั้น จะหารือกับสายการบินนี้ในการเสนอให้เปิดจุดบินสู่เมืองท่องเที่ยวชายทะเลอื่นๆ ที่มีศักยภาพ ได้แก่ กระบี่ รวมถึงจังหวัดภาคเหนือ เช่น เชียงใหม่ เชียงราย เพิ่มขึ้นด้วย ส่วนตลาดแอฟริกา ที่เป็นอีกหนึ่งเป้าหมาย ปัจจุบันมีการเดินทางมาไทย 7.8 หมื่นคนต่อปี ตั้งเป้าว่าในปีนี้จะต้องเพิ่มเป็น 1 แสนคน

นายยุทธศักดิ์ กล่าวด้วยว่าขณะนี้ให้ภูมิภาคเอเชียตะวันออกไปศึกษาความเป็นไปได้ในการทำข้อตกลงความร่วมมือกับสายการบินในญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ได้แก่ เจแปน แอร์ไลน์, เอเอ็นเอ, โคเรียนแอร์ และเอเชียน่า เพื่อส่งเสริม 2 ตลาดดังกล่าว รวมถึงใช้เครือข่ายของทั้งสองรายที่มีเส้นทางบินระยะไกล นำนักท่องเที่ยวมาไทยเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะญี่ปุ่นนั้น ต้องการให้มีการเพิ่มเที่ยวบินและจุดหมายปลายทางเพิ่มขึ้น เนื่องจากประสบปัญหาอย่างมากเรื่องที่นั่งขาเข้า (อินบาวด์) ขาดแคลน หลังจากกระแสคนไทยนิยมเดินทางไปเที่ยวญี่ปุ่นมากขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่ความต้องการตลาดญี่ปุ่นมาไทยยังสูงกว่า 1.4 ล้านคนในปีที่ผ่านมา

ทั้งนี้ การร่วมมือกับสิงคโปร์ แอร์ไลน์ส ยังเป็นการเซ็นเอ็มโอยูกับสายการบินลำดับที่ 6 ต่อจาก เอมิเรตส์, เอทิฮัด, กาตาร์ แอร์เวย์ส, ฟลายดูไบ, อีวีเอ แอร์

นอกจากนี้เตรียมหารือกับ 2 หน่วยงานหลักที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการในสนามบิน ได้แก่ บริษัทการท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. และสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เกี่ยวกับปัญหานักท่องเที่ยวตกเครื่องบิน เพราะความแออัดที่สนามบินทำให้ไปไม่ทันเวลาขึ้นเครื่องบิน และบางกรณีต้องปรับจุดหมายไปลงที่สนามบินอื่นๆ ทำให้ต้องคืนสินค้าปลอดภาษีที่ซื้อมา ซึ่งในการหารือ จะได้สอบถามถึงแผนรับมือล่วงหน้ากรณีที่สนามบินสุวรรณภูมิเตรียมปิดซ่อมรันเวย์บางส่วนในเดือน มี.ค.นี้ด้วย

สำหรับจำนวนนักท่องเที่ยวมาไทยตั้งแต่ 1 ม.ค. – 25 ก.พ.ที่ผ่านมา มีจำนวน 6 ล้านคน เพิ่มขึ้นราว 5.5% โดยในเดือน ก.พ.ยังเพิ่มขึ้นราว 1.2% ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้เดิมว่าจะติดลบ เนื่องจากเทศกาลตรุษจีนปีนี้ไปตรงกับเดือน ม.ค.ทำให้ยอดนักท่องเที่ยวเดือนแรกขยายตัวไปกว่า 9% แล้ว ทั้งนี้ ด้วยจำนวนดังกล่าว จึงนำมาซึ่งความเป็นห่วงเรื่องอัตราการรองรับ โดยเฉพาะเมื่อไทยต้องการปรับโครงสร้างสู่การเป็นแหล่งท่องเที่ยวคุณภาพ แต่หากบริการด้านสนามบินยังมีปัญหาต่อเนื่อง จะส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศได้

นายโก๊ะ ชุน ปง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการบินสิงคโปร์ แอนไลน์ส กล่าวว่า คาดว่าความร่วมมือในครั้งนี้จะส่งผลให้ทุกเส้นทางบินเข้าสู่ไทยมีจำนวนผู้โดยสารสูงขึ้น โดยนอกจาก 4 ตลาดหลักที่อยู่ภายใต้ความร่วมมือแล้ว สิงคโปร์ แอร์ไลน์ส ยังมีจุดหมายไปยัง 35 ประเทศทั่วโลกด้วย และมีแผนการบินระยะไกลที่สอดคล้องกับความต้องการเปิดตลาดของ ททท. เช่นการเปิดเส้นทางบินตรงสู่อเมริกา ประกอบกับมีเครือข่ายในภูมิภาคจากสายการบินโลว์คอสต์ในกลุ่ม และมีความสัมพันธ์อันดีในการโค้ดแชร์กับสายการบินท้องถิ่นที่เข้าไปทำตลาด เช่น การบินไทย, แอร์นิวซีแลนด์ ดังนั้น จะทำให้นักท่องเที่ยวมีตัวเลือกในการเดินทางเชื่อมต่อมากขึ้น