'2เอกชน' ตกทีโออาร์ เน็ตประชารัฐ

'2เอกชน' ตกทีโออาร์ เน็ตประชารัฐ

'ทีโอที' สรุปผลประกวดราคา “เน็ตประชารัฐ” พบเอกชนรายใหญ่ชวดโครงการ 2 บริษัท เหตุอุปกรณ์รายการไม่มี ม.อ.ก.

'ทีโอที' สรุปผลประกวดราคา “เน็ตประชารัฐ” พบเอกชนรายใหญ่ชวดโครงการ 2 บริษัท เหตุอุปกรณ์รายการไม่มี ม.อ.ก. ไม่ยืนยันกำลังการผลิต ผิดเงื่อนไขทีโออาร์ แจงต้องจัดซื้อใหม่ในรายการที่ 5 เหตุผู้เสนอราคาที่เหลือเสนอราคาสูงกว่าราคากลาง ส่วนอีกบริษัทเอกสารบางรายการไม่ถูกต้อง เร่งเปิดประมูลใหม่ ยันโครงการเดินหน้าพร้อมติดตั้งครบ 24,700 หมู่บ้าน ธ.ค.นี้ เผยตั้งแต่ 1 มี.ค. พร้อมรับโอนลูกค้าโทรบ้านทีทีแอนด์ทีหลังโดนคำสั่งศาลล้มละลาย

โครงการเน็ตประชารัฐ เป็นหนึ่งในโครงการที่รัฐบาลต้องการผลักดันให้แล้วเสร็จเป็นรูปธรรม เพื่อเป็นส่วนหนึ่งขับเคลื่อนประเทศไปสู่ยุค 4.0 ซึ่งขณะนี้ได้ผลการประกวดราคาจัดซื้ออุปกรณ์แล้ว แต่พบว่า 2 เอกชนรายใหญ่ต้องชวดโครงการนี้ เพราะผิดเงื่อนไขทีโออาร์

นายมรกต เธียรมนตรี รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ หน่วยธุรกิจขายและบริการลูกค้า บมจ. ทีโอที กล่าวว่า ผลพิจารณาการประกวดราคาจัดซื้ออุปกรณ์รองรับโครงการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศของทีโอที ตามแผนขยายโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงผ่านสื่อสัญญาณเคเบิลใยแก้วนำแสง (เอฟทีทีเอ็กซ์) ไปสู่หมู่บ้านในพื้นที่ไม่มีศักยภาพเชิงพาณิชย์ และยังไม่มีบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงมูลค่า 4,308 ล้านบาท

2บริษัทใหญ่ชวด
ภาพรวมการประกวดราคาเมื่อพิจารณาและต่อรองราคาแล้ว มีราคาต่ำกว่าราคากลาง คือ 3,225 ล้านบาท คิดเป็น 25% หรือลดลง 1,049 ล้านบาท ทั้งนี้การเสนอราคาบริษัทฟอร์ท คอร์เปอเรชั่น เสนอราคาต่ำสุดทุกรายการ แต่ไม่สามารถยืนยันกำลังผลิตโดยมีการยืนยันเป็นลายลักษณ์อักษรจากตัวแทนบริษัทได้ จึงตกคุณสมบัติทุกรายการ

"ทีโอทีขอยืนยันว่าการพิจารณามีความโปร่งใส สามารถชี้แจงได้ ทีโอทีคาดว่าจะสามารถลงนามในสัญญา และเริ่มส่งมอบอุปกรณ์ได้ในเดือนเม.ย.โดยสามารถเริ่มติดตั้งอุปกรณ์จำนวน 3,000 หมู่บ้านในเดือน พ.ค. และจะติดตั้งอุปกรณ์ครบ 24,700 หมู่บ้านในธ.ค.นี้

ผู้สื่อข่าวรายงาน กรรมการได้พิจารณาคุณสมบัติผู้เสนอราคาต่ำสุด พบว่า มี 2 บริษัท ที่พลาดโครงการนี้ คือ บริษัท ฟอร์ท คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน) และ บริษัท ไนน์เน็กซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด โดยฟอร์ท คอร์ปอเรชั่น ตกคุณสมบัติทั้ง 5 รายการ ในสัญญาเคเบิลใยแก้วนำแสง เหตุอุปกรณ์รายการที่ 1 และ 2 ไม่มี ม.อ.ก. และรายการที่ 3,4,5 ไม่ยืนยันกำลังการผลิตทั้งที่ทีโออาร์ระบุชัด จึึงต้องนำผู้เสนอราคาต่ำสุดอันดับต่อไปและไม่ตกคุณสมบัติเป็นผู้ชนะแทน คือ The Consortium of B and K ชนะในรายการที่ 1 , บริษัท ฟู่หยวน บิซิเนส จำกัด ชนะในรายการที่ 2 และ กิจการร่วมไฟเบอร์ออฟติคไทย ชนะในรายการที่ 3 กับ 4 ส่วนรายการที่ 5 พบว่าบริษัทที่เหลือเสนอราคาแพงกว่าราคากลาง ทำให้ต้องทำการจัดซื้อจัดจ้างใหม่

“หลังจากที่คณะกรรมการพิจารณาคุณสมบัติของฟอร์ทแล้ว พบว่า ไม่ผ่าน เราก็ได้เรียกเขามาพูดคุยว่าเมื่อรายการที่ 1 กับ 2 ไม่มี ม.อ.ก.จนต้องตกคุณสมบัติไป แต่รายการที่ 3,4,5 มี ม.อ.ก เพียงแต่ไม่ได้ยืนยันกำลังการผลิต ขอให้เขาทำมาได้ไหม ซึ่งเขากลับยืนยันว่าไม่มีกำลังการผลิต อันนี้ต้องปรับตกเพราะเรื่องนี้ทีโออาร์เขียนชัดว่าต้องยืนยัน”

ส่วนอีกบริษัท คือ ไนน์เน็กซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล พบว่า มีเอกสารบางรายการไม่ถูกต้อง จึงตกคุณสมบัติในสัญญาที่ 2 เรื่องอุปกรณ์ข่ายสายในรายการที่ 3 จึงประกาศให้ บริษัท โกลบอล เมช จำกัด เป็นผู้ชนะ ขณะที่ โกลบอล เมซ ก็ตกคุณสมบัติในรายการที่ 1 จึงประกาศให้ บริษัท ลี้ คิม เทรดดิ้ง จำกัด เป็นผู้ชนะ

ส่วนในรายการที่ 2 บริษัท อินเตอร์ลิงค์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) ผ่านคุณสมบัติและเป็นผู้ชนะ เช่นเดียวกับสัญญาที่ 3,4 และ 5 ผู้ที่เสนอราคาต่ำสุดผ่านคุณสมบัติทั้งหมดได้แก่ สัญญาที่ 3 อุปกรณ์ Optical Line Terminal (OLT) 4 รายการ คือ บริษัท แอ็ดวานซ์ อินฟอร์เมชั่น เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอที จากราคากลาง 1,395,797,185 (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) เสนอราคาต่ำสุดที่ 685,257,438 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ทำให้ไม่ต้องดึง บริษัท เอ็น อี ซี คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด หรือ เอ็น อี ซี ที่มีการแก้ราคาเจ้าปัญหาขึ้นมาแทน

นอกจากนี้ เอไอที ยังเสนอราคาต่ำสุดในสัญญาที่ 4 อุปกรณ์ Switch จากราคากลาง 286,380,150 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) โดยเสนอราคา 169,743,268 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ส่วนสัญญาที่ 5.อุปกรณ์กระจายสัญญาณแบบไร้สาย Wireless Access Point ได้แก่ บริษัท เอสวีโอเอ จำกัด (มหาชน) จากราคากลาง 251,075,500 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) เสนอ 240,125,441 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)

บริการโทรบ้านแทนทีทีแอนด์ที
ด้านนายมนต์ชัย หนูสง กรรมการผู้จัดการใหญ่ ทีโอที กล่าวว่า พร้อมให้บริการโทรศัพท์ประจำที่ในเขตภูมิภาคทั้งหมดต่อเนื่องจาก บมจ.ทีทีแอนด์ที ตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค.2560 เป็นต้นไป

โดยทีโอที ได้ให้ทีทีแอนด์ที ให้บริการโทรศัพท์ประจำที่ในเขตภูมิภาคตามสัญญาร่วมการงานร่วมลงทุนขยายบริการโทรศัพท์เขตภูมิภาค ซึ่งเมื่อวันที่ 15 มี.ค.2559 ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด บมจ.ทีทีแอนด์ที โดยเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ให้ ทีโอทีในฐานะผู้อนุญาตตามสัญญาดังกล่าว เป็นผู้เข้าดำเนินการเพื่อให้บริการทั้งหมดต่อเนื่องจากทีทีแอนด์ที ตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค.2560 เป็นต้นไป

สำหรับจำนวนผู้ใช้บริการที่ ทีโอที จะเข้าไปให้บริการแทน ทีทีแอนด์ที ประมาณ 3.5 แสนเลขหมาย ประกอบด้วยลูกค้าธุรกิจ 32% ลูกค้าประชาชน 63% ลูกค้าภาครัฐ 4% และอื่นๆ อีก 1% เมื่อรวมกับลูกค้าผู้ใช้บริการโทรศัพท์ประจำที่เดิมจำนวน 3.4 ล้านเลขหมาย ทีโอที จะมีลูกค้าผู้ใช้บริการถึง 3.75 ล้านเลขหมาย นับเป็นผู้ให้บริการรายใหญ่ที่สุดของประเทศ

นายมนต์ชัย กล่าวว่า การให้บริการโทรศัพท์ประจำที่เขตภูมิภาคทั้งหมดต่อเนื่องจาก ทีทีแอนด์ทีครั้งนี้ ทีโอทีจะดำเนินการเพื่อให้ลูกค้าผู้ใช้บริการกว่า 3.5 แสนรายสามารถใช้บริการได้ต่อเนื่อง โดยไม่ต้องเปลี่ยนเลขหมายที่ใช้อยู่เดิม และไม่ต้องขอเปิดใช้บริการใหม่แต่อย่างใด รวมถึงลูกค้าที่ชำระค่าบริการโดยหักบัญชีธนาคาร หรือชำระผ่านบัตรเครดิตยังคงดำเนินการได้ตามปกติ

สินบน“เจเนอรัลเคเบิล”ไม่คืบ
นายมนต์ชัย ยังได้กล่าวถึง ความคืบหน้าการตรวจสอบกรณีที่สื่อมวลชนนำเสนอข่าวว่า ทีโอที มีส่วนในการรับสินบน บริษัท เจเนอรัล เคเบิล คอร์ปอเรชัน โดยล่าสุดทางคณะกรรมการตรวจสอบกรณีถูกกล่าวอ้างรับสินบน ได้ขอเลื่อนระยะเวลาการสรุปผลการตรวจสอบออกไป เนื่องจากขณะนี้อยู่ในระหว่างการขอข้อมูลจากหน่วยงานภายนอกที่เกี่ยวข้องเพิ่ม ได้แก่ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.), เจเนอรัล เคเบิล และ กระทรวงยุติธรรม สหรัฐอเมริกา

โดยในส่วนของผลการตรวจสอบภายในของทีโอทีเอง ได้ตรวจสอบเอกสาร และเชิญผู้เกี่ยวข้องกับกรณีดังกล่าวทั้งหมดมาชี้แจงข้อเท็จจริงเป็นที่เรียบร้อย ทั้งนี้หากหน่วยงานภายนอกไม่ส่งข้อมูลให้ทีโอทีตามที่มีการร้องขอทีโอทีอาจต้องขอสรุปข้อมูลตามข้อเท็จจริงเฉพาะข้อมูลภายในที่ได้มีการตรวจสอบ แต่ก็อาจเปลี่ยนแปลงผลการตรวจสอบได้เมื่อได้รับข้อมูลที่จัดเจนในภายหลัง

“ในการตรวจสอบเบื้องต้น พบว่า ไม่น่ามีประเด็นปัญหา เพราะการเลือกซื้ออุปกรณ์ก็ใช้วิธี อี-ออกชั่น อีกทั้งวงเงินรวมที่ซื้อก็น้อย ซึ่งจริงๆ แล้วในแต่ละปีทีโอทีเองซื้อสายเคเบิล เป็นมูลค่าหลายพันล้านบาท แต่ทั้งนี้หากกรณีนี้เกิดพบว่ามีผู้กระทำผิดจริง ถึงเป็นมูลค่าน้อยแค่สลึงเดียว แต่ผิดก็ถือว่าผิด” นายมนต์ชัย กล่าว