ลงดาบม.44 สั่งรื้อระบบจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานของรัฐ

ลงดาบม.44 สั่งรื้อระบบจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานของรัฐ

"พล.อ.ประยุทธ์" ลงดาบม.44 สั่ง12ข้อ รื้อระบบจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานของรัฐ

ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ คําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๑๑/๒๕๖๐ เรื่อง การกํากับการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานของรัฐ

ตามที่รัฐบาลได้กําหนดนโยบายที่สําคัญในการบริหารประเทศโดยให้การเพิ่มศักยภาพ ทางเศรษฐกิจและความสามารถในการแข่งขันของประเทศเป็นเรื่องสําคัญที่ต้องเร่งดําเนินการ โดยเฉพาะโครงการลงทุนที่ต้องอาศัยเวลาดําเนินการในระยะยาว แต่ต้องเร่งดําเนินการให้ทันต่อการพัฒนาและความต้องการของประชาชนเพื่อก่อให้เกิดการพัฒนาด้านอื่น ๆ ตามมาอย่างต่อเนื่องโดยเร็ว เช่น การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมและการขนส่งที่มีมูลค่าสูงและต้องใช้เทคโนโลยีทันสมัย แต่ทั้งนี้การดําเนินการทุกขั้นตอนต้องโปร่งใส ตรวจสอบได้ และเป็นไปตามหลักธรรมาภิบาล รวมถึงหลักการและแนวทางของข้อตกลงคุณธรรม จึงจําเป็นต้องกําหนดให้มีกระบวนการกํากับการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานของรัฐให้เป็นไปตามหลักการและแนวทางดังกล่าว อันจะนําไปสู่การสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศที่เข้าร่วมในการดําเนินกิจการของรัฐ ส่งเสริมให้มีการแข่งขันอย่างเป็นธรรม
และเกิดความไว้วางใจแก่ประชาชน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการปฏิรูประเบียบบริหารราชการแผ่นดินและส่งผลต่อภาพลักษณ์อันดีของประเทศ โดยเฉพาะในระหว่างรอการบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐซึ่งยังต้องใช้เวลาอีกหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาจึงจะมีผลใช้บังคับ

อาศัยอํานาจตามความในมาตรา ๔๔ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช ๒๕๕๗ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติโดยความเห็นชอบของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ จึงมีคําสั่ง ดังต่อไปนี้
ข้อ ๑ ในคําสั่งนี้
“การจัดซื้อจัดจ้าง” หมายความว่า การดําเนินการเพื่อให้ได้มาซึ่งพัสดุและการพัสดุของหน่วยงานของรัฐที่มีวงเงินตั้งแต่ห้าพันล้านบาทขึ้นไป ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้อยู่ภายใต้ คําสั่งนี้
“พัสดุ” หมายความว่า พัสดุตามระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕
“การพัสดุ” หมายความว่า การพัสดุตามระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕
“คณะกรรมการ” หมายความว่า คณะกรรมการกํากับการจัดซื้อจัดจาง้
“หน่วยงานของรัฐ” หมายความว่า ราชการส่วนกลาง ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ องค์การมหาชน และสถาบันอุดมศึกษาในกํากับของรัฐ
ข้อ ๒ ให้มีคณะกรรมการกํากับการจัดซื้อจัดจ้าง ประกอบด้วย
(๑) ผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งนายกรัฐมนตรีแต่งตั้งโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี เป็นประธานกรรมการ
(๒) ผู้อํานวยการสํานักงบประมาณ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ผู้อํานวยการสํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ และอัยการสูงสุด เป็นกรรมการ
(๓) ผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งนายกรัฐมนตรีแต่งตั้งโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี จํานวนไม่เกินสามคนเป็นกรรมการ ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ในการกํากับดูแลการจัดซื้อจัดจ้างของแต่ละโครงการ นายกรัฐมนตรี โดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีอาจแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิจากองค์กรวิชาการหรือวิชาชีพที่เกี่ยวข้องกับ
โครงการนั้น ๆ เพิ่มขึ้นอีกได้จํานวนไม่เกินสามคน เป็นกรรมการ
(๔) อธิบดีกรมบัญชีกลาง เป็นกรรมการและเลขานุการให้อธิบดีกรมบัญชีกลางแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานของรัฐจํานวนไม่เกินสองคนเป็นผู้ช่วยเลขานุการการประชุมของคณะกรรมการให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการกําหนด

ข้อ ๓ ประธานกรรมการตามข้อ ๒ (๑) และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิตามข้อ ๒ (๓)
ให้พิจารณาแต่งตั้งจากผู้ที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ หรือประสบการณ์ด้านวิศวกรรม สถาปัตยกรรมการเงิน การคลัง การบริหารจัดการ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หรือด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องและเป็นประโยชน์ต่อการกํากับการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานของรัฐ และต้องไม่เป็นข้าราชการการเมืองผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น กรรมการหรือผู้ดํารงตําแหน่งอื่นในพรรคการเมือง หรือเจ้าหน้าท่ของพรรคการเม ี ือง การดํารงตําแหน่งและการพ้นจากตําแหน่งของประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
ตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามที่นายกรัฐมนตรีกําหนด

ข้อ ๔ ประธานกรรมการและกรรมการตามข้อ ๒ ต้องไม่เป็นผู้ที่มีส่วนได้เสียทั้งทางตรง
และทางอ้อมในโครงการที่จะมีการจัดซื้อจัดจ้างซึ่งตนมีหน้าที่และอํานาจในการกํากับดูแลตามคําสั่งนี้
ทั้งนี้ หากมีกรณีดังกล่าวให้เลขานุการหรือคณะกรรมการรายงานให้นายกรัฐมนตรีทราบ เพื่อวินิจฉัยสั่งการตามที่เห็นสมควร

ข้อ ๕ ให้คณะกรรมการมีหน้าที่และอํานาจ ดังต่อไปนี้
(๑) กํากับ เร่งรัด ติดตาม และตรวจสอบการจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานของรัฐตั้งแต่ขั้นตอนการจัดทําแผนการจัดซื้อจัดจ้างจนสิ้นสุดสัญญา ทั้งนี้ ในกรณีที่การจัดซื้อจัดจ้างเป็นไปตามมาตรฐานการจัดซื้อจัดจ้างของรัฐ หรือไม่มีความซับซ้อน หรืออยู่ภายใต้ข้อจํากัดตามกฎหมาย
หรือระเบียบที่เกี่ยวข้อง คณะกรรมการอาจตรวจสอบการจัดซื้อจัดจ้างเพียงบางส่วนหรือบางขั้นตอนก็ได้
(๒) สั่งการให้หน่วยงานของรัฐที่มีการจัดซื้อจัดจ้างกระทําการหรือไม่กระทําการใด ๆ
หรือดําเนินการจัดซื้อจัดจ้างโดยวิธีการใด เพื่อให้การจัดซื้อจัดจ้างมีความโปร่งใสและเป็นธรรมตามหลักธรรมาภิบาล
(๓) รับและพิจารณาข้อร้องเรียนจากภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน รวมทั้งจาก
ผู้สังเกตการณตามข ์ ้อตกลงคุณธรรม เกี่ยวกับการปฏิบัติตามกฎหมาย ดังต่อไปนี้
ก. ระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕
ข. ระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๔๙
ค. ระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศ ข้อบัญญัติ หรือข้อกําหนดใด ๆ เกี่ยวกับพัสดุ
หรือการจัดซื้อจัดจ้างอื่นของหน่วยงานของรัฐที่ไม่อยู่ภายใต้บังคับของระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ หรือระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๔๙
ง. พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐพ.ศ. ๒๕๔๒
(๔) เร่งรัด ติดตาม และประเมินผลการปฏิบัติตามคําสั่งของคณะกรรมการ
(๕) เรียกให้หน่วยงานของรัฐหรือบุคคลอื่นใดที่เกี่ยวข้องมาชี้แจงหรือให้ถ้อยคํา หรือให้ส่งเอกสารหรือหลักฐานที่เกี่ยวข้องเพื่อประกอบการพิจารณา
(๖) แต่งตั้งคณะอนุกรรมการหรือคณะทํางานเพื่อช่วยเหลือการปฏิบัติงานได้ตามความจําเป็น
(๗) ดําเนินการอื่นใดที่จําเป็นเพื่อประโยชน์ในการกํากับ เร่งรัด ติดตาม และตรวจสอบ
การจัดซื้อจัดจ้างของหน่วยงานของรัฐ
(๘) รายงานผลการดําเนินการตามคําสั่งนี้ต่อนายกรัฐมนตรี
(๙) ปฏิบัติงานอื่นใดตามที่นายกรัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรีมอบหมายในกรณีที่พิจารณาข้อร้องเรียนตาม (๓) แล้วรับฟังได้ว่า หน่วยงานของรัฐมิได้ปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมายหรือระเบียบที่เกี่ยวข้อง หรือมีการกระทําที่ส่อว่าเกิดการทุจริต ให้คณะกรรมการมีอํานาจ
แจ้งให้สํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ สํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ สํานักงานการตรวจเงินแผ่นดิน หรือหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องพิจารณาดําเนินการตามหน้าที่และอํานาจ หรือคณะกรรมการจะแจ้งหรือแนะนําให้หน่วยงานของรัฐที่มีการจัดซื้อจัดจ้างปรับปรุงแก้ไขให้ถูกต้อง ทั้งนี้ ในกรณีที่เห็นว่ามีเหตุจําเป็นจะเสนอแนะให้พิจารณาระงับการดําเนินการบางขั้นตอนไว้ก่อน หรือให้ดําเนินการต่อโดยเริ่มจากขั้นตอนหนึ่งขั้นตอนใดตามที่เห็นสมควรก็ได้
ข้อ ๖ เพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบการดําเนินโครงการของรัฐที่ใช้งบประมาณในการดําเนินการที่มีวงเงินสูง หรือโครงการของรัฐที่อยู่ในความสนใจของประชาชน นายกรัฐมนตรีอาจมอบหมายให้คณะกรรมการพิจารณาตรวจสอบและให้ข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ต่อการดําเนินการโครงการดังกล่าวท่ีไม่อยู่ภายใต้บังคับของคําสั่งนี้ได้ ทั้งนี้ ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสนับสนุนข้อมูลตามที่คณะกรรมการร้องขอ
ข้อ ๗ ให้กรมบัญชีกลางรับผิดชอบงานธุรการและสนับสนุนการทํางานของคณะกรรมการ คณะอนุกรรมการ หรือคณะทํางานที่แต่งตั้งขึ้นตามคําสั่งนี้ การเบิกจ่ายเบี้ยประชุม ให้เป็นไปตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยเบี้ยประชุมกรรมการส่วนค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการดําเนินการอื่น ๆ ที่จําเป็น ให้เบิกจ่ายได้ตามระเบียบของทางราชการโดยเบิกจ่ายจากงบประมาณของกรมบัญชีกลาง
ข้อ ๘ ให้โครงการดังต่อไปนี้ และโครงการอื่นตามที่นายกรัฐมนตรีกําหนดซึ่งเป็นโครงการ
ที่อยู่ระหว่างการดําเนินการในวันก่อนวันที่คําสั่งนี้มีผลใช้บังคับ อยู่ภายใต้การกํากับดูแล
ของคณะกรรมการตามคําสั่งนี้
(๑) โครงการก่อสร้างทางคู่ในเส้นทางรถไฟสายชายฝั่งทะเลตะวันออก ช่วงฉะเชิงเทรา -
คลองสิบเก้า - แก่งคอย
(๒) โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงชุมทางถนนจิระ - ขอนแก่น
(๓) โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงมาบกะเบา - ชุมทางถนนจิระ
(๔) โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงลพบุรี - ปากน้ําโพ
(๕) โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงนครปฐม - หัวหิน
(๖) โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงหัวหิน - ประจวบคีรีขันธ์
(๗) โครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงประจวบคีรีขันธ์ - ชุมพร
ข้อ ๙ ในวาระเริ่มแรก ให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้มีอํานาจแต่งตั้งประธานกรรมการและ
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิตามข้อ ๒ โดยมิให้นําความในข้อ ๓ วรรคหนึ่ง มาใช้บังคับ แล้วแจ้งคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ
ข้อ ๑๐ ในกรณีที่มีปัญหาเกี่ยวกับการปฏิบัติตามคําสั่งนี้ให้นายกรัฐมนตรีมีอํานาจวินิจฉัย
และคําวินิจฉัยให้เป็นที่สุด
ข้อ ๑๑ ในกรณีเห็นสมควรนายกรัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรีอาจเสนอให้คณะรักษาความสงบ
แห่งชาติแก้ไขเปลี่ยนแปลงคําสั่งนี้ได้
ข้อ ๑๒ คําสั่งนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

สั่ง ณ วันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๐
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา
หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ