‘หุ้นกู้นอนเรท’ ไร้เสน่ห์ 

‘หุ้นกู้นอนเรท’ ไร้เสน่ห์ 

‘หุ้นกู้นอนเรทติ้ง’ ไร้เสน่ห์ แนะนักลงทุนเพิ่มความระวัง

การผิดนัดชำระหนี้ตั๋วแลกเงิน(บี/อี) ที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ได้ส่งผลกระทบต่อผู้ออกตราสารหนี้ระยะสั้นและบั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุน ตลาดมีความระมัดระวังต่อผลกระทบจากการผิดนัดชำระหนี้ และกังวลว่าผู้ออกตั๋วบี/อีรายอื่นที่ไม่ได้รับการจัดอันดับเครดิต หรือ “หุ้นกู้นอนเรทติ้ง” จะตกอยู่ในสถานะเดียวกัน ส่งผลให้นักลงทุนเริ่มระมัดระวังมากขึ้นในการให้กู้ยืมแก่ผู้ออกตราสารที่ไม่ได้รับการจัดอันดับเครดิต

บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประเมินว่า กรณีดังกล่าวส่งผลให้การต่ออายุหนี้ที่ครบกำหนดทำได้ยากขึ้น โดยบริษัทที่มีอันดับเครดิตไม่สูงบางราย จะพบกับความยากลำบากมากขึ้นในการต่ออายุหนี้ที่จะครบกำหนดทำให้ผู้ออกตราสารเหล่านี้ต้องเสนออัตราผลตอบแทนที่สูงขึ้นให้แก่นักลงทุน โดยเพิ่มขึ้น 0.25-0.75% ซึ่งทำให้ต้นทุนการกู้ยืมเพิ่มสูงขึ้น

การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของผู้ออกตราสารที่ไม่ได้รับการจัดอันดับเครดิตและบริษัทที่มีเครดิตไม่สูงในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ตลาดตราสารหนี้อ่อนแอและกดดันสภาวะตลาดมากขึ้น ซึ่งถ้าการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจหยุดชะงักหรือสภาพคล่องของตลาดลดลงอย่างกระทันหันหรือรุนแรง ความผันผวนของราคาสินทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นก็จะส่งผลทำให้นักลงทุนลดระดับความเสี่ยงในการลงทุนมากยิ่งขึ้น

ในกรณีนี้ ต้นทุนการกู้ยืมจะเพิ่มขึ้นอย่างมากตามความเสี่ยงของการผิดนักชำระหนี้ที่เพิ่มสูงขึ้น และการต่ออายุของหนี้ที่ครบกำหนดจะทำได้ยากขึ้นด้วย โดยเฉพาะผู้ออกตราสารที่มีอันดับเครดิตไม่สูง

ทริส ระบุว่า อัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ต่ำอย่างต่อเนื่องและอัตราผลตอบแทนที่ต่ำของตราสารหนี้ที่มีอันดับเครดิตไม่สูงผลักดันให้นักลงทุนแสวงหาผลตอบแทนที่สูงขึ้น และในบางกรณีก็ทำให้นักลงทุนต้องเสี่ยงมากขึ้น

ความเชื่อว่าการผิดนัดชำระหนี้เกิดขึ้นได้ยากในตลาดตราสารหนี้ ประกอบกับอัตราผลตอบแทนสูงที่ดึงดูดความต้องการของนักลงทุนเฉพาะกลุ่ม ได้ทำให้ความต้องการตราสารหนี้ที่ไม่ได้จัดอันดับเครดิตยังคงอยู่ในระดับสูง ผลที่ตามมา คือ การออกหุ้นกู้เติบโตอย่างมากในช่วงปี 2558-2559

อย่างไรก็ตาม การผิดนัดชำระหนี้ของตั๋วแลกเงินที่เกิดขึ้นได้สั่นคลอนความเชื่อดังกล่าว และบั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุน ปัจจุบันตลาดจึงต้องประเมินความเสี่ยงของหนี้ระยะสั้นที่ไม่ได้จัดอันดับเครดิตใหม่อีกครั้ง การลดระดับความเสี่ยงในการลงทุนและความผันผวนของสภาวะตลาดที่มากขึ้น ทำให้นักลงทุนหันกลับมาลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยมากกว่าซึ่งให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าในปีที่ผ่านมา โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการขึ้นของอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง

ทริส คาดว่า ผลกระทบของการผิดนัดชำระหนี้ที่เกิดขึ้น จะอยู่ในวงจำกัดเมื่อดูจากขนาดของตราสารเหล่านี้ที่มีขนาดเล็กเมื่อเทียบกับตลาดตราสารหนี้โดยรวม สภาพคล่องยังมีอยู่มากจากนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายซึ่งจะช่วยให้ภาวะเศรษฐกิจค่อยๆ ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง การเติบโตของการออกหุ้นกู้ที่ไม่มีอันดับเครดิต คาดว่าจะลดลงในปีนี้ ตามภาวะตลาดที่ระมัดระวังมากขึ้น

นักลงทุนจะมองหาสินทรัพย์ที่มีคุณภาพสูงขึ้นในช่วงเวลาที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง การเรียกความเชื่อมั่นของนักลงทุนให้กลับคืนมาอีกครั้งต้องใช้เวลา”

การออกหุ้นกู้ใหม่โดยบริษัทที่ไม่มีอันดับเครดิตจะชะลอตัวหรือลดลงไปเนื่องจากผู้ลงทุนหายากขึ้น ทำให้ต้นทุนการเงินของบริษัทเหล่านี้ปรับสูงขึ้น ภายใต้สภาวะเช่นนี้ ทริส เชื่อว่า ธนาคารจะเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในการสนับสนุนวงเงินสินเชื่อและเงินกู้ซึ่งมีต้นทุนถูกกว่าการออกตั๋วแลกเงิน หากนักลงทุนยังมีความกังวลอยู่ โดยการหาแหล่งเงินทุนจะเปลี่ยนจากการออกหุ้นกู้มาเป็นการกู้ยืมจากธนาคาร ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงของผู้ออกตราสารที่ไม่สามารถออกหุ้นกู้ใหม่เพื่อนำมาทดแทนหนี้เดิมได้

นอกจากนี้ ทริส ยังมองว่า ตราสารหนี้ระยะสั้นที่ไม่ได้รับการจัดอันดับเครดิตมีความเสี่ยงในการต่ออายุเมื่อครบกำหนด ทำให้มีความจำเป็นที่บริษัทจะต้องหาทางเลือกอื่นมาชำระหนี้ระยะสั้นเมื่อหนี้ครบกำหนด

อย่างไรก็ตามคาดว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการผิดนัดชำระหนี้และการขาดความเชื่อมั่นของนักลงทุนจะมีไม่มากเมื่อเทียบกับตลาดตราสารหนี้ระยะสั้นที่มีขนาดเล็ก และสภาพคล่องในตลาดการเงินที่ยังมีอยู่มาก ในขณะที่ภาวะเศรษฐกิจกำลังฟื้นตัว ทริส เชื่อว่า การกำกับดูแลจากทางการและกลไกตลาดจะช่วยสร้างเสถียรภาพให้แก่ตลาดตราสารหนี้ ซึ่งทำให้ผู้ออกตราสารที่ไม่ได้จัดอันดับเครดิตและบริษัทที่มีอันดับเครดิตไม่สูงต้องออกจากตลาดไปในที่สุด

“ทริส มีความเห็นว่า หากพฤติกรรมแสวงหาอัตราผลตอบแทนที่สูงในตราสารที่มีความเสี่ยงสูงยังดำเนินต่อไป เมื่อเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยก็จะเพิ่มสภาวะกดดันให้แก่ตลาดอย่างมาก ซึ่งทำให้มีโอกาสที่จะส่งผลกระทบเชิงลบเป็นลูกโซ่ไปสู่ผู้ออกตราสารหนี้กลุ่มอื่นๆ ได้”