IRPC - ซื้อ

IRPC - ซื้อ

รายงานกำไรปี 59 ที่ 9,721 ล้านบาท+ 3%YoY คาดเติบโต 5%ในปี 60

ประเด็นสำคัญในการลงทุน :

- รายงานกำไรไตรมาส 4/59 ที่ 1,694 ล้านบาทเติบโต 30%QoQ และ 290%YoY : โดยค่าการกลั่นรวมทุกธุรกิจปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 12.6 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จากระดับ 12.5 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในไตมาสก่อน เนื่องจากธุรกิจปิโตรเลียมมีค่าการกลั่นปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสก่อนราว 1.32 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ตามส่วนต่างผลิตภัณฑ์แนฟทา น้ำมันเบนซิน น้ำมันดีเซล และน้ำมันเตาที่เพิ่มขึ้น 111% 26% 9% และ 60% ตามลำดับ อย่างไรก็ตามธุรกิจปิโตรเคมีผลประกอบการปรับตัวลดลงตามส่วนต่างผลิตภัณฑ์ HDPE และส่วนต่างผลิตภัณฑ์ PP ที่ลดลง 10% และ 9% ตามลำดับ นอกจากนี้ยังมีกำไรจากสต๊อกน้ำมันอีกราว 300 ล้านบาท และการกลับรายการหนี้สงสัยจะสูญ 185 ล้านบาทเข้ามาหนุนผลประกอบการในไตรมาส 4 ให้เติบโตเมื่อเทียบเป็นรายไตรมาส ส่งผลให้ปี 59 บริษัทมีกำไรรวม 9,721 ล้านบาทเติบโต 3%YoY

- คาดปี 60 กำไรอยู่ที่ราว 10,232 ล้านบาทเติบโต 5% : ฝ่ายวิจัยคาดว่ากำไรปี 60 จะอยู่ที่ราว 10,232 ล้านบาทเติบโต 5%YoY โดยเราคาดว่าค่าการกลั่นรวมจะยังทรงตัวในระดับสูงที่ 13-14 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งได้รับแรงหนุนจากค่าการกลั่นน้ำมันที่ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 8-9 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลเนื่องจากเริ่มเดินเครื่องโครงการ UHV และธุรกิจโอเลฟินส์มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นตามราคาของผลิตภัณฑ์ Polypropylene (PP) และราคาของผลิตภัณฑ์ HDPE อีกทั้งได้รับแรงหนุนจากโครงการ Everest ซึ่งบริษัทตั้งเป้าเพิ่มกำไรก่อนดอกเบี้ยและภาษีราว 7 พันล้านบาท อย่างไรก็ธุรกิจอะโรเมติกส์อาจอ่อนตัวตามส่วนต่างผลิตภัณฑ์พาราไซลีน (PX) ที่มีแนวโน้มปรับตัวลงเพราะมีอุปทานใหม่จากโรงงาน Reliance ของอินเดียเข้ามากดดันใน 2Q60 และโครงการ UHV จะมีการหยุดซ่อมบำรุงใหญ่ในไตรมาส 1/60 อีกทั้งบริษัทต้องกลับมาจ่ายภาษีในอัตราปกติ 20% ในปี 60 หลังใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีจากผลขาดทุนหมดในปี 59 เป็นปัจจัยกดดันต่อผลประกอบการ นอกจากนี้คาดว่ากำไรจากสต๊อกน้ำมันดิบจะไม่สูงเท่าในปี 59 จากที่คาดว่าราคาน้ำมันดิบดูไบจะเคลื่อนไหวในกรอบ 48-54 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลซึ่งไม่ได้ปรับขึ้นมากเหมือนในปี 59 แม้ว่าประเทศกลุ่มโอเปกและนอกโอเปกเริ่มปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันลง 1.5 ล้านบาร์เรลต่อวันก็ตาม แต่ยังคงมีอุปทานส่วนเกินอยู่ราว 7 แสนบาร์เรลต่อวันในช่วง 1H60 ก่อนที่จะเข้าสู่จุดสมดุลในช่วง 2H60

- คงคำแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเหมาะสม 5.85 บาท : ฝ่ายวิจัยประเมินมูลค่าด้วยวิธี PE ratio โดยใช้ Prospective P/E ที่ 11.7 เท่าซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 1 ปีและคำนวณกำไรต่อหุ้นได้ 0.5 บาทสำหรับปี 60 ได้ราคาเหมาะสมที่ 5.85 บาทต่อหุ้นซึ่งสูงกว่าราคาปิดล่าสุดจึงคงคำแนะนำ “ซื้อ”