GPSC - ถือ

GPSC - ถือ

รายงานกำไรปี 59 เติบโต 53%YoY แต่ปรับประมาณการกำไรปี 60 ลง 3%

ประเด็นสำคัญในการลงทุน :

- รายงานกำไรไตรมาส 4/59 ที่ 418 ล้านบาทเติบโต 25%YoY แต่ลดลง 42%QoQ : บริษัทรายงานกำไรไตรมาส 4/59 ลดลงเมื่อเทียบเป็นรายไตรมาสเนื่องจากไม่มีเงินปันผลรับจากบริษัท ราชบุรีพาวเวอร์ จำนวน 240 ล้านบาทเหมือนในไตรมาส 3/59 และมีค่าเผื่อการด้อยค่าของสินทรัพย์ที่ไม่ได้ใช้งานจากโรงผลิตสาธารณูปการระยองอีก 100 ล้านบาท นอกจากนี้ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารปรับตัวขึ้น 24% จากปีก่อนตามการขยายตัวของธุรกิจ ขณะที่บริษัทรายงานกำไรปี 59 ที่ 2,700 ล้านบาทเติบโต 53%YoY เนื่องจากมีการรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้า IRPC CLEAN เฟส 1 เต็มปีและรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากโรงไฟฟ้านวนครที่เริ่มเดินเครื่องการผลิตไฟฟ้า 2H59 นอกจากนี้ราคาก๊าซธรรมชาติที่ปรับตัวลงและบริษัทได้เพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการทำงานของไรงไฟฟ้าทำให้ช่วยประหยัดต้นทุน อีกทั้งในปี 59 มีเงินปันผลรับจาก ราชบุรีพาวเวอร์ อีก 420 ล้านบาทมาช่วยหนุนผลประกอบการเพิ่มเติม

- ปรับประมาณการกำไรปี 60 ลงจากเดิม 3% สู่ 2,807 ล้านบาท : ฝ่ายวิจัยมีมุมมองเชิงลบต่อผลประกอบการปี 60 แม้ว่าจะมีกำลังการผลิตไฟฟ้าใหม่เข้ามาอีก 153.85 MW ในปี 60 หรือคิดเป็นกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น 11% จากโครงการโซลาร์ฟาร์มสหกรณ์จันทบุรีซึ่งเริ่มรับรู้รายได้ตั้งแต่ต้นปี 60 ส่วนโรงไฟฟ้าอีก 3 แห่ง ได้แก่ โรงไฟฟ้าบางปะอิน โคเจนเนอเรชั่น 2 โรงไฟฟ้า IRPC CLEAN เฟส2 และโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ประเทศญี่ปุ่นจะทยอยรับรู้รายได้ในช่วงครึ่งปีหลังซึ่งถือว่าล่าช้ากว่าแผนราว 3-6 เดือน นอกจากนี้คาดว่า 1H60 จะมีการหยุดซ่อมบำรุงโรงไฟฟ้าของบริษัท และสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่หมดลงจะทำให้บริษัทต้องเสียภาษีในอัตรา 6-7% ต่อปีจากเดิมจ่ายในอัตรา 3-4% อีกทั้งต้นทุนก๊าซธรรมชาติมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นตามราคาน้ำมันยังเป็นปัจจัยที่กดดันต่อผลประกอบการของโรงไฟฟ้าเพิ่มเติม ฝ่ายวิจัยจึงปรับประมาณการลงจากเดิม 2,907 ล้านบาทเหลือ 2,807 ล้านบาทแต่ยังเติบโต 4%จากปี 59

- ปรับคำแนะนำเหลือ “ถือ” ที่ราคาเหมาะสม 39.00 บาท : ฝ่ายวิจัยประเมินมูลค่าด้วยวิธี PBV Ratio ที่ Prospective PBV ที่ 1.5 เท่าซึ่งใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยของกลุ่มโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่อื่นๆ ได้ราคาเหมาะสม 39.00 บาท ซึ่งสูงกว่าราคาปิดล่าสุดไม่ถึง 10% และอัตราเงินปันผลทั้งปีคิดเป็น 3% (ประกาศจ่ายเงินปันผลอีก 0.7 บาทรวมทั้งปี 1.1 บาท) ซึ่งถือว่าอยู่ในกรอบล่างของอัตราเงินปันผลกลุ่มโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ในช่วง 3-7% จึงปรับคำแนะนำลงจาก “ซื้อ” เหลือ “ถือ”