ดึง 7 บิ๊กธุรกิจดันสินค้าไทยเจาะตลาดโลก

ดึง 7 บิ๊กธุรกิจดันสินค้าไทยเจาะตลาดโลก

พาณิชย์ปั้นโครงการ "ควิก วิน" ดึงภาคธุรกิจรายใหญ่ 7 ราย ร่วมวางแผนส่งออก พร้อมเริ่มทำงานทันที คาดดันส่งออกปีนี้ตามเป้าโต 3%

กระทรวงพาณิชย์จัดประชุมเพื่อทำแผนผลักดันการส่งออกเชิงรุกรายภูมิภาคร่วมกับที่ปรึกษารายภูมิภาค (Regional Advisor) โดยภาคธุรกิจจาก 7 บริษัทชั้นนำของไทยเข้าร่วมในฐานะที่ปรึกษารายภูมิภาค

ที่ปรึกษา 7 รายใน 7 ภูมิภาคที่มาหารือครั้งนี้ ล้วนแต่มีการลงทุนในต่างประเทศ ประกอบด้วย นายพรชัย วิทยาคุณสกุลชัย จากบริษัทปูนซีเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน) หรือ เอสซีจี รับผิดชอบภูมิภาคเอเชียใต้ นายยูจิ นาคากาวา จาก Toyota Tsusho รับผิดชอบภูมิภาคแอฟริกาและตะวันออกกลาง นายสมชาย จึงสมบูรณานนท์ รองประธานอาวุโสฝ่ายจัดซื้อ บจก. Shanghai Lotus Supermarket Chain Store นายณัฐพล เดชวิทักษ์ รองผู้จัดการใหญ่สายงานการจำหน่ายและการตลาด บริษัท ล็อกซเล่ย์ จำกัด (มหาชน) รับผิดชอบภูมิภาคจีน

นายวรเทพ อัศวเกษม รองผู้อำนวยการผลิตภัณฑ์ชุดชั้นในวาโก้ บมจ.ไอ.ซี.ซี. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) รับผิดชอบภูมิภาคญี่ปุ่น นายอัศวิน เตชะเจริญวิกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) รับผิดชอบภูมิภาคอาเซียน นางสาวจริยา จิราธิวัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโสฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท เซ็นทรัล กรุ๊ป รับผิดชอบภูมิภาคยุโรป และนายธีรพงศ์ จันสิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป รับผิดชอบภูมิภาคสหรัฐ

นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่าได้เชิญผู้บริหารจากภาคเอกชนซึ่งเป็นผู้ส่งออกและทำธุรกิจอยู่ในประเทศต่างๆมาให้คำปรึกษาการขับเคลื่อนผู้ประกอบการไทยให้ส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศตามเป้าหมายใน 7 ภูมิภาค ที่ผู้ส่งออกรายใหญ่มีความเชี่ยวชาญและทำตลาดเป็นปกติอยู่แล้ว เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการไทยรายใหม่ รวมถึงผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็ก (เอสเอ็มอี) ได้มีโอกาสทางการค้าเพิ่มขึ้น

“ได้หารือถึงการจัดทำแผนงานเร่งด่วน หรือควิกวิน ที่จะร่วมมือกันทำงานในทันที โดยผู้นำธุรกิจที่รับผิดชอบในแต่ละภูมิภาค ได้นำเสนอรูปแบบที่จะนำมาใช้ในการผลักดันการส่งออกให้กับผู้ประกอบการรายใหม่และเอสเอ็มอีมาแล้ว ตามแนวทางประชารัฐผลจากการทำงานร่วมกัน จะทำให้เป้าหมายการส่งออกในปีนี้ ที่ตั้งไว้ที่ 3%ทำได้แน่นอน”

ตลาดอาเซียนเน้นลดอุปสรรคโลจิสติกส์

นางอภิรดีกล่าวว่า สำหรับแนวทางการดำเนินการในตลาดอาเซียน จะเน้นด้านการขนส่งและโลจิสติกส์ เพราะสินค้าไทยเป็นที่ยอมรับและเป็นที่ต้องการของตลาดอาเซียนอยู่แล้ว โดยเฉพาะในตลาดกัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และเวียดนาม หรือ ซีเเอลเอ็มวี

“หากแก้ไขปัญหาเรื่องการขนส่งและโลจิสติกส์ได้แล้ว จะทำให้สินค้าไทยเข้าสู่ตลาดซีแอลเอ็มวี ได้คล่องตัวมากขึ้น และการผลักดันให้สินค้าไทยเข้าไปจำหน่ายในร้านค้าปลีก ค้าส่ง และร้านสะดวกซื้อ ซึ่งผู้ประกอบการรายใหญ่ของไทยมีเครือข่ายที่พร้อมจะให้การช่วยเหลืออยู่แล้ว”

ในส่วนของตลาดจีน จะใช้เครือข่ายห้างค้าปลีกสมัยใหม่ โดยเฉพาะห้างเทสโก้ โลตัส และซุปเปอร์แบรนด์มอลล์ ที่เป็นเครือข่ายของซีพี ในการกระจายสินค้าไทยเข้าสู่ตลาดจีน ซึ่งจะมีการคัดเลือกสินค้าจากผู้ประกอบการไทยไปจำหน่ายต่อไป และยังจะใช้เครือข่ายของล็อกซเลย์ ที่มีพันธมิตรในสถานีบริการน้ำมัน และห้างค้าปลีก ที่จะมีการคัดเลือกสินค้าไทยเข้าไปวางจำหน่ายเช่นเดียวกัน

ทียูเอฟแนะใช้นวัตกรรมเจาะตลาด

นางอภิรดี กล่าวว่า สำหรับตลาดสหรัฐ ทางทียูเอฟซึ่งเป็นผู้ทำตลาดสินค้าอาหารประมงและปลาทูน่าในสหรัฐ จะให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการไทยนำสินค้าเข้าไปขยายตลาดในสหรัฐ โดยเน้นสินค้าที่มีคุณภาพ มีนวัตกรรม และเป็นสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และไม่มีปัญหาด้านแรงงาน เพราะสินค้าเหล่านี้จะได้รับความนิยมจากผู้บริโภคและเป็นที่ต้องการมากในปัจจุบัน โดยกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมายที่จะเน้นการเจาะ ก็คือ กลุ่มผู้บริโภคชาวเอเชีย และชาวอิสแปนิส ที่กำลังมีการขยายตัวและมีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น

“ตลาดสหรัฐ จะไม่เน้นเฉพาะสินค้าเดิมๆ ที่ทำตลาดได้อยู่แล้ว แต่จะเน้นสินค้าใหม่ๆ เน้นสินค้าที่เป็นสินค้านวัตกรรม และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ส่วนสินค้าเก่า ก็ไม่ทิ้ง อย่างกุ้ง ถ้าแก้ไขปัญหาเรื่องแรงงานได้ ก็รับรองว่าจะขยายตัวได้เพิ่มขึ้นอีกเป็นเท่าตัว”

ทางด้านตลาดยุโรป แนวทางการขยายตลาดสินค้าไทยจะคล้ายๆ กับตลาดสหรัฐ แต่เพิ่มการกระจายสินค้าไทยผ่านช่องทางของห้างสรรพสินค้าที่ทางเซ็นทรัลได้เข้าไปซื้อ ซึ่งจะเน้นในกลุ่มสินค้าอาหาร และสินค้าที่เป็นอัตลักษณ์ของไทย แต่จะต้องแก้ไขปัญหาด้วยการผลิตสินค้าให้เพียงพอต่อความต้องการ

ดึงผู้ซื้อตั้งสำนักงานในไทย

ทางด้านตลาดแอฟริกา ใช้วิธีการเชิญผู้ซื้อจากแอฟริกาเข้ามาตั้งสำนักงานที่ไทย แล้วคัดเลือกสินค้า และส่งกลับไปจำหน่ายในแอฟริกา เพราะที่ผ่านมา อาจจะใช้วิธีการเดินทางเข้ามาซื้อแล้วนำกลับ

ส่วนตลาดอินเดีย แม้ปัจจุบันจะมีปัญหาและอุปสรรคมาก แต่อินเดียมีกำลังซื้อมาก ตามแผนงาน จะมีการจัดงานแสดงสินค้าอาเซียน-อินเดีย และไทย-อินเดีย และจะจัดให้มีการเจรจาธุรกิจ (บิสสิเนส แมชชิ่ง) เพื่อผลักดันให้มีการค้าขายเพิ่มขึ้น

สำหรับตลาดญี่ปุ่น เกาหลีใต้และไต้หวัน จะผลักดันให้มีการนำสินค้าของผู้ส่งออกไทยเข้าไปจำหน่ายผ่านเครือข่ายของสหพัฒน์ ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการทำงานร่วมกันเพื่อคัดเลือกสินค้าอยู่

นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการบริหารบริษัทศรีไทย ซุปเปอร์แวร์ และประธานฝ่ายเอกชนคณะกรรมการสานพลังประชารัฐชุดการส่งเสริมการส่งออกและการลงทุนระหว่างประเทศ (ดี 4) กล่าวว่า ในที่ประชุมยังได้มีการพูดถึงตัวเลขส่งออกที่ท้าทายมากขึ้นขยายตัว 3.6% แต่เบื้องต้นภาคเอกชนมองว่าการส่งออกปีนี้น่าจะขยายตัวได้ไม่ต่ำกว่า 3%แน่นอน