ผู้บริโภค68% แนะรัฐคุมราคา ธุรกิจอสังหาฯ

ผู้บริโภค68% แนะรัฐคุมราคา ธุรกิจอสังหาฯ

ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ ระบุผลสำรวจผู้บริโภค 68% แนะรัฐคุมราคาขายอสังหาฯ –ซัพพลายใหม่เข้าสู่ตลาด ป้องกันการเกิดฟองสบู่ 

       นางสาวกมลภัทร แสวงกิจ  ผู้จัดการใหญ่ประจำประเทศไทย  ดีดีพร็อพเพอร์ตี้  ในเครือพร็อพเพอร์ตี้กูรู กรุ๊ป เปิดเผยถึงผลสำรวจความคิดเห็นของผู้บริโภคที่อยู่ระหว่างพิจารณาจะซื้อและผู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ จำนวน 661 คน ผ่านทางแบบสำรวจออนไลน์ ระหว่างวันที่ 1-31 ต.ค. 2559 พบว่า 68% ของผู้ตอบแบบสำรวจ เห็นว่ารัฐบาลควรควบคุมราคาอสังหาฯเปิดขายใหม่ของผู้พัฒนาโครงการ  และ 52% รัฐบาลควรเพิ่มวงเงินสนับสนุนสำหรับผู้ที่ไม่เคยถือครองอสังหาฯ มาก่อน  เพื่อให้สามารถซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองได้มากขึ้น และ 43% ให้ควบคุมจำนวนซัพพลายเข้าสู่ตลาด เพื่อป้องกันการเกิดภาวะฟองสบู่

          และ 42% เห็นกำหนดให้มีบทบังคับเพิ่มเติม สำหรับการผู้ถือครองอสังหาฯต่างชาติ อีก  35 % กำหนดราคาขั้นต่ำของอสังหาฯที่ต่างชาติซื้อได้  และ 31% กำหนดให้การครอบครองอสังหาฯ ของต่างชาติอยู่ในทำเลหรือบริเวณจำกัด  26% จำกัดจำนวนการถือครองอสังหาฯของแต่ละบุคคล

            นอกจากนี้ 36% ของผู้ตอบแบบสำรวจ ยังระบุว่า ราคาขายของอสังหาฯ คืออุปสรรคหรือปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการซื้ออสังหาฯ ในไทยปัจจุบัน ตามมาด้วย อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ และการปล่อยวงเงินกู้ของสถาบันการเงินที่ลดน้อยลง

      ขณะที่  52%  หรือเกินครึ่ง เห็นว่าอสังหาฯ มีราคาแพงหรือสูงจนเกินไป ซึ่งปัจจัยที่ส่งผลให้ราคาขายปรับสูงขึ้นไปมาก เป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงราคาประเมินที่ดินรอบใหม่ปี 2559-2562  ทั้งนี้ ถึงแม้ว่าต้นทุนในการก่อสร้าง และราคาวัสดุก่อสร้างจะปรับขึ้นไม่มากนัก แต่เนื่องจากการแข่งขันที่ค่อนข้างสูงทำให้ผู้พัฒนาโครงการมุ่งหาจุดขายให้กับโครงการ โดยการเลือกใช้วัสดุหรืออุปกรณ์ที่ทันสมัย อาทิ ระบบจอดรถอัตโนมัติ และการร่วมมือกับสถาปนิกชั้นนำที่มีชื่อเสียงระดับโลก เข้ามาช่วยเรื่องการออกแบบหรือการเลือกใช้วัสดุอุปกรณ์ในปัจจุบัน

  อย่างไรก็ดี ที่น่าตกใจ กว่า 1 ใน 2 คิดเป็นจำนวน 56% ของผู้ตอบแบบสำรวจ ระบุไม่ได้รับประโยชน์ด้านนโยบายมาตรการกระตุ้น และสนับสนุนด้านอสังหาฯของรัฐบาลในปีที่ผ่านมา  ขณะที่ 47% รู้สึกว่านโยบายมาตรการกระตุ้นด้านอสังหาฯ ในปี2559 ยังมีประโยชน์ไม่มากพอ เพิ่มขึ้น 23% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า ที่มีเพียง 24% ที่รู้สึกรัฐบาลให้การสนับสนุนไม่เพียงพอ