เทรด10หุ้นใหญ่ดันพีอีพุ่งแซงตลาด

เทรด10หุ้นใหญ่ดันพีอีพุ่งแซงตลาด

นักลงทุนเทรดหุ้นใหญ่คึกคักหนุนพีอี10บริษัทพุ่งเกิน30เท่าขณะที่ดัชนีหุ้นไทยแตะระดับ1,600 จุด ค่าพีอีเรโชเฉลี่ยอยู่ที่19 เท่า

จากการสำรวจหุ้นที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดสูงสุด 50 อันดับแรก ณ วันที่ 26 ม.ค. ที่ผ่านมา พบว่ามีหุ้นกว่า 10 บริษัท ที่มีอัตราส่วนราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้น (P/E) เกิน 30 เท่า สูงกว่าค่าพีอีของดัชนี SET ในปัจจุบันซึ่งอยู่ที่ 19.24 เท่า เทียบจากกำไรของบริษัทจดทะเบียนย้อนหลัง 12 เดือน

ในบรรดาหุ้นใหญ่ที่สำรวจ พบว่าหุ้นที่มีค่าพีอีสูงที่สุดคือ กรุ๊ปลีส (GL) อยู่ที่ 98.63 เท่า ณ ราคาปิดที่ 60.25 บาท ส่วนหุ้นใหญ่ที่มีค่าพีอีสูงอันดับรองลงมา ได้แก่ เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ (BJC) 59.87 เท่า บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) 57.6 เท่า คาราบาวกรุ๊ป (CBG) 51.12 เท่า สยามโกลบอลเฮ้าส์  (GLOBAL)49.08 เท่า เมืองไทย ลิสซิ่ง (MTLS) 47.3 เท่า กรุงเทพดุสิตเวชการ (BDMS) 41.2 เท่า โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ (BH) 37.42 เท่า ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ (BEM)

บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส (ประเทศไทย)ระบุว่า หุ้นกรุ๊ปลีสคาดว่าจะมีกำไรต่อหุ้นช่วงปี 2558 -2561 จะเติบโตเฉลี่ย 64% ต่อปี มาจากการเติบโตทั้งภายในและจากการลงทุน รวมถึงการเข้าซื้อกิจการเพิ่ม โดยแนวโน้มในไตรมาส 4/2559 คาดว่ากำไรสุทธิจะเติบโต 86% จากปีก่อน และ 38% จากไตรมาสก่อน ส่วนปี 2560 คาดว่ากำไรจะเพิ่มขึ้นเท่าตัว โดยการรับรู้รายได้จากอินโดนีเซีย พม่า และศรีลังกา เต็มปี ทั้งนี้ 9 เดือนแรกของปี 2559 มีกำไรสุทธิ 738 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 89% ขณะที่ไตรมาส 4/2558 มีกำไรสุทธิ 193 ล้านบาท

ส่วนบริษัทอื่นๆ ที่มีค่าพีอีสูงรองลงมานั้น จะเห็นว่างวด 9 เดือนแรกของปี 2559 กำไรต่างเติบโต อาทิ เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ มีกำไร 2,772 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 32% คาราบาวกรุ๊ป มีกำไร 1,208 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25% สยามโกลบอลเฮ้าส์  มีกำไร 1,152 ล้านบาท 66% เมืองไทย ลิสซิ่ง มีกำไร 981 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 68%

ส่วนหุ้นกรุงเทพดุสิตเวชการ มีกำไร 6,409 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9% และโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ มีกำไร 2,801 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% แต่ค่าพีอีสูงนี้เป็นระดับที่ใกล้เคียงปีก่อน

นางสาวธีรดา ชาญยิ่งยงค์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป(ประเทศไทย)กล่าวว่าหุ้นไทยโดยเฉพาะหุ้นขนาดใหญ่ที่ดันดัชนีเซ็ทขึ้นมารอบนี้ ถือว่ามูลค่าไม่ถูกหากพิจารณาจากอัตราส่วนราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้น (P/E) ล่วงหน้า ซึ่งอิงจากคาดการณ์กำไรสุทธิต่อหุ้นในปีนี้ที่ 104 บาท จะได้ค่าพีอีราว 15.4 เท่า ขณะที่เป้าหมายดัชนีที่ให้ไว้ในปีนี้อยู่ที่ 1,666 จุด อิงกับค่าพีอี 16 เท่า

“กลยุทธ์ช่วงนี้มองว่าอาจจะทยอยขายทำกำไรหลังดัชนีขึ้นมา1,600 จุด แม้แนวโน้มโดยรวมยังเป็นบวก แต่ความเสี่ยงปรับฐานเพิ่มขึ้น เพราะดัชนีปรับตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็วในรอบ 1 เดือน ขณะที่การเติบโตของกำไรในปีนี้ราว 7-8% ก็ถือว่าไม่สูงนัก และความผันผวนในปีนี้น่าจะยังค่อนข้างสูง”