ส่งออกปี59โต0.45% บวกครั้งแรกรอบ4ปี

ส่งออกปี59โต0.45% บวกครั้งแรกรอบ4ปี

ส่งออกปี 59 พลิกเป็นบวก 0.45% สูงสุดรอบ 4 ปี เศรษฐกิจตลาดหลักฟื้น-ราคาน้ำมันหนุน ตั้งเป้ามีปีนี้โต 2.5-3.5% จับตาการเมืองโลกฉุดกระทบการค้า

นางสาวพิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กล่าวว่าการส่งออกในปี 2559 มีมูลค่ารวม 2.15 แสนล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 0.45% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2558 ซึ่งเป็นการกลับมาเป็นบวกครั้งแรกในรอบ 4 ปี หลังจากติดลบต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2556

ขณะที่การนำเข้าปี 2559 มีมูลค่า 1.95 แสนล้านดอลลาร์ ลดลง 3.94% ส่งผลให้ไทยเกินดุลการค้าปี 2559 มูลค่า 2.07 หมื่นล้านดอลลาร์ สูงสุดเป็นประวัติการณ์

ปัจจัยบวก ที่ทำให้ภาคส่งออกของไทยในปีที่ผ่านมากลับมาเป็นบวก พบว่ามีปัจจัยเอื้อหนุนรอบด้านจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในตลาดสำคัญอย่างสหรัฐฯ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย อาเซียน และจีน ทำให้มีการส่งออกและยอดการขายมีมากขึ้น ทั้งในส่วนของอุตสาหกรรมยานยนต์และส่วนประกอบ เครื่องปรับอากาศผลไม้แปรรูป และแผงโซล่าร์เซลล์เป็นต้น

สำหรับตัวเลขส่งออกเดือน ธ.ค. 2559 มีมูลค่า 1.81 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 6.23%เทียบกับเดือน ธ.ค. 2558 โดยการนำเข้าในเดือน ธ.ค. 2559 ยังมีมูลค่ารวมอยู่ที่ราว 1.72 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 10.34%ซึ่งเป็นผลมาจากตลาดส่งออกสำคัญของไทยยังขยายตัวได้ดีในเกือบทุกตลาด

“การส่งออกไทยปี 2559 กลับมาเป็นบวกในรอบ 4 ปี สะท้อนให้เห็นว่าไทยสามารถปรับตัวได้ดีและสินค้ายังเป็นที่ต้องการของตลาดโลก แม้ในภาวะที่เศรษฐกิจโลกยังอยู่ในช่วงชะลอตัว และอุปสงค์โลกยังไม่กลับเข้าสู่ภาวะปกติ ได้เรียนตัวเลขส่งออกและนำเข้าให้นายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรีรับทราบแล้ว ซึ่งเป็นที่น่าพอใจพร้อมทั้งสร้างความมั่นใจว่าตัวเลขการนำเข้าที่เป็นบวกจากสินค้าทุนและวัตถุดิบเป็นสัญญาณที่ดีต่อการส่งออกในปีนี้”

คาดปีนี้ขยายตัว2.5-3.5%

นางสาวพิมพ์ชนก ยังกล่าวอีกว่าการในปีนี้ คาดว่าการส่งออกจะขยายตัวในระดับ 2.5-3.5% ภายใต้สมมุติฐานราคาน้ำมันดิบตลาดดูไบอยู่ที่ 50-60 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล อัตราแลกเปลี่ยน 35.5-37.5 บาทต่อดอลลาร์ ราคาส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น 2.0-3.0% ราคาส่งออกสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้น 1.0-2.0%

“แต่การคาดการณ์ยังไม่ได้รวมผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากนโยบายทางการค้าของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ และผลกระทบจากการที่อังกฤษออกจากสหภาพยุโรป (เบร็กซิท)”

ทั้งนี้ หากการส่งออกปี 2560 ขยายตัว 2.5%จะมีมูลค่า 2.20 แสนล้านดอลลาร์ หรือเฉลี่ยต่อเดือนมีมูลค่า 1.83 หมื่นล้านดอลลาร์ หากขยายตัวระดับ 3%จะมีมูลค่า 2.21 แสนล้านดอลลาร์ หรือเฉลี่ยต่อเดือนมีมูลค่า 1.84 หมื่นล้านดอลลาร์ และหากขยายตัว 3.5% จะมีมูลค่า 2.22 แสนล้านดอลลาร์ หรือเฉลี่ยต่อเดือนมีมูลค่า 1.85 หมื่นล้านดอลลาร์

ชี้โอกาสโต5%หากเศรษฐกิจโลกดีขึ้น

นางสาวพิมพ์ชนก กล่าวว่าการส่งออกในปี 2560 มีโอกาสขยายตัวได้มากถึง 5%หากสถานการณ์เศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน โดยในวันที่ 20 ก.พ.นี้จะมีการประชุมทูตพาณิชย์เพื่อประเมินตัวเลข ปัจจัยลบต่างๆ พร้อมวางเป้าหมายการทำงานอีกครั้ง

“สำหรับประเด็นที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เซ็นลงนามถอนตัวออกจากการเป็นสมาชิกความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (ทีพีพี) เชื่อว่าไทยจะเสียเปรียบประเทศอื่นน้อยลงซึ่งน่าจะเป็นผลดีกับไทย แต่สิ่งที่กังวลคือการที่สหรัฐฯ ค่อนข้างชัดเจนกับนโยบายปกป้องตนเองจะทำให้เกิดการกีดกันทางการค้ามากขึ้น โดยเฉพาะกับประเทศจีนและเม็กซิโกดังนั้นจะต้องเร่งศึกษาในประเด็นเหล่านี้เพิ่มเติม ส่วนในกรณีที่สหรัฐฯ จะใช้มาตรการทางภาษีเพื่อป้องกันสินค้านำเข้าจากจีน ไทยอาจได้รับผลกระทบด้วยแต่ต้องดูว่าสินค้าจีนและไทยที่ใกล้เคียงกันส่งออกไปสหรัฐฯ มีอะไรบ้าง เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องจักรกล เป็นต้น”

จับตาการเมืองโลกเสี่ยง

นางสาวพิมพ์ชนก กล่าวว่าปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตามองเป็นพิเศษนอกจากนโยบายของประธานาธิบดีสหรัฐฯ แล้ว ยังเป็นความไม่แน่นอนของตลาดหลักอย่างยุโรปที่ขณะนี้เศรษฐกิจภายในประเทศยังไม่ฟื้นตัว ประกอบกับนโยบายปกป้องการค้าของสหรัฐฯ หากได้รับการตอบรับดีก็กรงว่าหลายประเทศในยุโรปจะนำมาเป็นประเด็นหาเสียงที่จะมีการเลือกตั้งในปีนี้ไม่ว่าจะเป็น ฝรั่งเศส และเยอรมัน

สนค.จึงประเมินแผนรองรับเบื้องต้นไว้ว่าทิศทางการสานสัมพันธ์การค้าในปีนี้จะต้องเน้นหลักไปที่การเจรจาการค้าในลักษณะประเทศต่อประเทศ เพราะแม้ว่าสถานการณ์การค้าอาจจะไม่เสถียรภาพ แต่หากมีการเจรจากับคู่ค้าโดยตรงได้อย่างรวดเร็วก็จะไม่มีผลกระทบ

นักเศรษฐกิจชี้ส่งออกไทยมีเสถียรภาพ

นายนริศ สถาผลเดชา ผู้อำนวยการอาวุโส ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีเอ็มบี กล่าวว่า ตัวเลขการส่งออกที่ออกมาถือว่าใกล้เคียงกับที่ ทีเอ็มบี คาดการณ์เอาไว้ โดยทีเอ็มบีคาดว่าการส่งออกของไทยในปีนี้จะขยายตัวได้ประมาณ 0.2% ขณะที่ตัวเลขกระทรวงพาณิชย์ออกมาขยายตัวประมาณ 0.45%

"การส่งออกของเราน่าจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ถ้าดูไส้ในการปรับตัวดีขึ้นหลักๆ แม้จะเป็นผลจากราคาพลังงานและสินค้าเกษตรที่ดีขึ้น แต่ปริมาณก็เริ่มกลับมา สะท้อนความมีเสถียรภาพที่มากขึ้น”

สำหรับแนวโน้มปีนี้ ทีเอ็มบี คาดการณ์การขยายตัวที่ประมาณ 1.5% ซึ่งก็เป็นผลจากในเรื่องของราคาพลังงานและสินค้าเกษตรที่ฟื้นตัวขึ้น โดยตลาดส่งออกหลักๆ ที่เป็นตัวหนุน คือ กลุ่มซีแอลเอ็มวี(กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม) และกลุ่มอาเซียน5(อินโดนีเซีย มาเลเซียน สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ บรูไน)

ส่วนตลาดหลักอย่างสหรัฐ ยุโรป และจีน คาดว่าจะยังซึมๆ โดยในยุโรปเป็นผลจากภาพรวมเศรษฐกิจที่การฟื้นตัวยังไม่ชัดเจน หรือกรณีของจีนซึ่งอาจจะได้รับผลกระทบจากนโยบายเศรษฐกิจของนายโดนัลด์ ทรัมป์