ต้นปีเงินไหลเข้ากองบอนด์2.5หมื่นล้าน

ต้นปีเงินไหลเข้ากองบอนด์2.5หมื่นล้าน

บลจ.ไทยพาณิชย์ เผยนักลงทุนยังมั่นใจกองทุนตราสารหนี้ เม็ดเงินใหม่ไหลเข้าแล้ว 25,000 ล้านตั้งแต่ต้นปี

นายสมิทธ์ พนมยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.ไทยพาณิชย์ เปิดเผยถึงภาพรวมการลงทุนตลาดตราสารหนี้ว่า แม้สถานการณ์อยู่ในช่วงดอกเบี้ยแนวโน้มปรับตัวขึ้น และมีข่าวที่กระทบต่อแวดวงตลาดตราสารหนี้บ้าง แต่นักลงทุนยังจัดสรรเงินลงทุนเข้ามาในกองทุนตราสารหนี้ต่อเนื่อง 

กองทุนตราสารหนี้ของ บลจ.ไทยพาณิชย์ นับจากต้นปี 2560 เม็ดเงินไหลเข้าสูงถึง 25,000 ล้านบาท สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นนักลงทุนที่มีต่อบริษัท ณ วันที่ 18 ม.ค.ที่ผ่านมา บริษัทมีกองทุนตราสารหนี้ภายใต้การบริหาร 554,320 ล้านบาท เพราะบริษัทมีกระบวนการคัดเลือกตราสารที่กองทุนเข้าลงทุน ในรูปแบบที่มีมาตรฐานสูงเทียบเท่ากับแบงก์ใหญ่ และมีการวิเคราะห์ คัดเลือกบริษัทที่จะลงทุน โดยพิจารณาจากหลายปัจจัย อาทิ ความมั่นคงทางการเงิน สถานะทางการเงิน และปริมาณเงินสดจากการดำเนินงาน รวมทั้งวิเคราะห์สถานการณ์เศรษฐกิจโดยรวม สถานการณ์รายอุตสาหกรรม ตลอดจนความสามารถและประสบการณ์ของทีมผู้บริหารของบริษัทที่จะลงทุน

ตั้งแต่ปี 2558 บลจ.ไทยพาณิชย์ นำ Call Back Verification ซึ่งเป็น Business model ใหม่มาใช้ เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ลงทุนได้รับคำแนะนำการลงทุน และข้อมูลผลิตภัณฑ์ที่ถูกต้องครบถ้วน ตรงตามระดับความเสี่ยง และข้อจำกัดการลงทุนของลูกค้าแต่ละราย ซึ่งกระบวนการนี้ได้บการยอมรับ และนำไปสู่แนวคิดในการวางมาตรฐานการกำกับดูแลบริษัทจัดการลงทุนให้มีมาตรการป้องกันการเกิด Mis-Selling 

สำหรับตลาดตราสารหนี้ปีนี้ อัตราผลตอบแทนมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น เป็นผลจากปัจจัยต่างประเทศ ได้แก่ การดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่ และการเพิ่มขึ้นของราคาพลังงานหลังจากที่กลุ่มโอเปก มีมติลดกำลังการผลิตน้ำมันลง ซึ่งจะผลักดันให้อัตราเงินเฟ้อปรับตัวเพิ่มขึ้น และสนับสนุนการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ

"ตลาดตราสารหนี้มีความผันผวนระยะสั้น จากความไม่แน่นอนของความสำเร็จในการดำเนินนโยบายของ ทรัมป์ จากผลกระทบจากการที่อังกฤษถอนตัวออกจากกลุ่มสหภาพยุโรป การเลือกตั้งในกลุ่มประเทศยุโรป และความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจจีน สำหรับมุมมองปัจจัยในประเทศ คาดเศรษฐกิจไทยเติบโตได้ 3.3% และแบงก์ชาติจะคงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 1.5%" 

ขณะที่ นายไพศาล ครุฑดำรงชัย รองกรรมการ ผู้จัดการฝ่ายที่ปรึกษาการลงทุน บลจ.ทหารไทย ระบุว่า การลงทุนตราสารหนี้ประเภทหุ้นกู้ที่บริษัทลงทุนปัจจุบัน 200,000 ล้านบาท โดยหุ้นกู้ที่บริษัทเลือกลงทุนนั้น จะมีเรตติ้งที่ตัวอันดับเรตติ้งที่บริษัทเลือกลงทุนเน้น A-ขึ้นไป ส่วนตราสารหนี้ต่างประเทศเน้นตราสารหนี้ที่มีเรตติ้งตั้งแต่ BBB+ ขึ้นไป

ส่วนตั๋วเงินระยะสั้น (B/E) บริษัทไม่เน้นลงทุน เนื่องจากบริษัทไม่มีกองทุนประเภทเทมอฟันด์ อย่างไรก็ตาม การเลือกลงทุนในตั๋วเงินบีอี ควรเน้นลงทุนที่มีเรตติ้งเป็นหลักตั้งแต่ A-ขึ้นไป และควรศึกษาตัวบริษัทรวมถึงงบบริษัท และตัวผู้บริหารเป็นสำคัญ