จับแก๊งจีนปลอมบัตรเครดิต รูดซื้อสินค้าวันเดียวสูญ1ล.

จับแก๊งจีนปลอมบัตรเครดิต รูดซื้อสินค้าวันเดียวสูญ1ล.

ตร.ท่องเที่ยวจับแก๊งจีนดูดข้อมูลปลอมบัตรเครดิต รูดซื้อสินค้าวันเดียว100ราย สูญ 1 ล้านบาท

ที่กองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว(บก.ทท.) พ.ต.อ.อาชยน ไกรรอง ผบก.ทท. พร้อมด้วย พ.ต.ท.อัครเดช เกตุเอี่ยม รอง ผกก.1 บก.ทท. พ.ต.ท.สุรศักดิ์ สุรินทร์แก้ว รอง ผกก.1 บก.ทท. พ.ต.ท.ศิลา ตันตระกูล สว.งานสืบสวน กก.1 บก.ทท. พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจ งานสืบสวน กก.๑ บก.ทท. แถลงผลการจับกุมผู้ต้องหาชาวจีนปลอมบัตรอิเล็กทรอนิกส์ปลอม จำนวน 5ราย คือนายไบ เว่ย (MR. BAI WEI) อายุ 32 ปี สัญชาติจีน นายชาง ชูเจียง (MR. ZHANG CHUSHENG) อายุ 49 ปี สัญชาติจีน นายซู ไชเว่ย (MR. XUE ZHIWEI) อายุ 39 ปี สัญชาติจีน นายลิว ยูหมิง (MR. LIU YUMING) อายุ 46 ปี สัญชาติจีน และนายเชน จี (MR. CHEN JIE) อายุ 48 ปี สัญชาติจีน พร้อมด้วยของกลางเครื่องบันทึกข้อมูลลงในแถบแม่เหล็ก สีดำ Model:MSR900S จำนวน 1 เครื่อง,เครื่องคอมพิวเตอร์แบบพกพา (โน๊ตบุ๊ก) สีดำ ยี่ห้อ LENOVO จำนวน 1 เครื่อง,บัตรอิเล็กทรอนิกส์ปลอม จำนวน 3 ใบ, เครื่องอนุมัติวงเงินอัตโนมัติ จำนวน 1 เครื่อง,สลิปใบสรุปยอดรายการขาย จำนวน 4 ใบ,เอ็กทรานอลฮาร์ดดิส WFD015 32 GB สีขาว จำนวน 1 อัน,แฟรซไดฟ์ จำนวน 3 อัน ,โทรศัพท์มือถือ ยี่ห้อ Honer สีขาวจำนวน 1 เครื่อง โทรศัพท์มือถือ ยี่ห้อ ไอโฟน สีเงินจำนวน 1 เครื่องและโทรศัพท์มือถือ ยี่ห้อ ไอโฟน สีทอง จำนวน 1 เครื่อง ในข้อหา “ร่วมกันใช้และมีไว้เพื่อนำออกใช้ซึ่งบัตรอิเล็กโทรนิกส์โดยรู้ว่าเป็นของที่ทำปลอมขึ้นหือแปลงขึ้นโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อประชาชนหรือผู้อื่น และมีเครื่องมือหรือวัตถุสำหรับปลอมหรือแปลงบัตรอิเล็กทรอนิกส์”

พ.ต.อ.อาชยน กล่าวว่า เนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจงานสืบสวน กก.1 บก.ทท. ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ธนาคารกสิกรไทย ว่ามีคนร้ายซึ่งเป็นชาวต่างชาตินำบัตรอิเล็กทรอนิกส์ปลอมมาใช้รูดซื้อสินค้า ตามสถานที่ต่าง ๆ จึงได้จัดกำลังชุดสืบสวนออกสืบสวนหาข่าวกรณีดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งเมื่อคืนวันที่ 19 มกราคม ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ได้ออกตรวจบริเวณถนนรามคำแหงและพบผู้ต้องสงสัยเป็นชาวต่างชาติมีลักษณะคล้ายกับที่ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ธนาคารกสิกรไทย จำนวน 3 คน คือ นายไบ เว่ย ,นายชาง ชูเจียง และนายซู ไชเว่ย สัญชาติจีนทั้ง 3 ราย เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้เข้าไปแสดงตัวและขอทำการตรวจค้นพบของกลาง เป็นบัตรอิเล็กโทรนิกส์ปลอม จำนวน 3 ใบ พร้อมด้วยเครื่องบันทึกข้อมูลลงในแถบแม่เหล็ก จำนวน 1 เครื่อง, เครื่องคอมพิวเตอร์สำหรับพกพา พร้อมโปรแกรมบันทึกข้อมูลลงแถบแม่เหล็ก และโทรศัพท์มือถืออีกจำนวน 3 เครื่อง

ต่อมา เจ้าหน้าที่จึงได้สืบสวนขยายผลกลุ่มจนกระทั่งสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้เพิ่มอีก 2 ราย คือ นายลิว ยูหมิง และ นายเชน จี สัญชาติจีนทั้ง 2 ราย พร้อมของกลาง เครื่องอนุมัติวงเงินอัตโนมัติ และสลิปใบสรุปยอดรายการขาย จากนั้นจึงได้เชิญเจ้าหน้าที่ธนาคารกสิกรไทย มาเพื่อทำการตรวจสอบความถูกต้อง ของบัตรที่ผู้ต้องหาใช้ในการรูดซื้อสินค้า พบว่าบัตรทั้งสามใบถูกทำปลอมขึ้นโดยใช้โปรแกรมและเครื่องบันทึกข้อมูลลงในแถบแม่เหล็ก และใช้เข้ากับเครื่องอนุมัติวงเงินอัตโนมัติ รวมมูลค่าความเสียหายที่ผู้ต้องหาได้ทำการรูดบัตรประมาณ 1 ล้านบาท

พ.ต.อ.อาชยน กล่าวต่อว่า จากการตรวจสอบผู้ต้องหาทั้งหมดได้เข้ามาประเทศไทย ตามวีซ่านักท่องเที่ยว แต่มีจุดประสงค์เพื่อเข้ากระทำความผิดดังกล่าวโดยเฉพาะ และข้อมูลบัตรเครดิตต่างๆนั้นได้รับมาจากประเทศจีน ซึ่งข้อมูลที่ได้มามีผู้เสียหายหลายประเทศเช่น ชิลี เกาหลี ญี่ปุ่น เปรู และจีน ส่วนบัตรเครดิตทั้ง 3 ใบนั้น ผู้ต้องหาจะใช้วิธีบันทึกข้อมูลใส่บัตร เมื่อทำการรูดเสร็จก็จะบันทึกข้อมูลใหม่ทับลงไป วนสลับกันไป ทั้งนี้ในปัจจุบันมิจฉาชีพเหล่านี้เริ่มมีพฤติการณ์ที่เปลี่ยนไป โดยเมื่อก่อนจะใช้วิธีใช้สกิมเมอร์คัดลอกข้อมูลบัตรแล้วไปทำบัตรใหม่ไปใช้รูดซื้อสิ้นค้าตามร้านต่างๆ แต่ในปัจจุบันแก๊งพวกนี้จะใช้วิธีเอาข้อมูลบัตรมาให้ในบัตร และบันทึงข้อมูลลงไปในบัตรใบเดิน แล้วนำเครื่องรูดบัตรมารูดเงิน ซึ่งในส่วนนี้เครื่องรูดบัตรนั้นจะต้องได้มาจากร้านค้าต่างๆ ทั้งนี้ต้องทำการตรวจสอบว่าแก๊งชาวจีนเหล่านี้ไปเอาเครื่องรูดบัตรมาจากไหน และร้านค้าที่เป็นเจ้าของเครื่องรูดดังกล่าวมีส่วนรู้เห็นหรือมีการแบ่งส่วนแบ่งให้กันหรือไม่ หากพบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องก็จะดำเนินการตามกฎหมายทันที

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมแก๊งผู้ต้องหาดังกล่าวที่บริเวณโรงแรมแห่งหนึ่งในซอยรามคำแหง 23 แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กทม. และจากกาตรวจสอบเดินทางเข้ามาในประเทศไทยเมื่อวันที่ 18 มกราคม ซึ่งมีกำหนดอยู่ถึงวันที่ 17 กุมภาพันธ์ แต่วันที่ 19 มกราคมถูกจับ โดยเพียงแค่วันเดียวผู้ต้องหารูดบัตรเครดิตที่ปลอมแปลงขึ้นใหม่จากข้อมูลของผู้เสียหายไปเกือบ 100 ราย ความเสียหาย 1 ล้านบาท