Daily Market Oulook (18 ม.ค.60)

Daily Market Oulook (18 ม.ค.60)

อ่อนไหว

คาดหุ้นไทยปรับตัวลงวันนี้ นักลงทุนทั่วโลกดูเหมือนกลับมามองมุมลบของนโยบายปกป้องทางการค้าของ Trump หลังจากได้ฟังคำพูดและท่าทีแข็งกร้าวต่อหลายฝ่ายเมื่อเร็วๆ นี้ ความไม่แน่ใจต่อนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของ Trump ก็กลบบังตัวเลขเศรษฐกิจที่ดีในช่วงหลังด้วย เรามองแผน 12 ประการของนายกรัฐมนตรีอังกฤษว่ายังคงจะต้องออกจากสหภาพยุโรปอย่างสิ้นเชิงอยู่ดีเพราะฝั่ง EU คงไม่ยอมให้อังกฤษปฏิเสธรับผู้อพยพทั้งหมด แต่ขณะเดียวกันก็ได้รับสิทธิพิเศษในการเข้าถึงตลาดร่วมยุโรป ภายในประเทศ ครม. อนุมัติงบกลางเพิ่มอีก 1.9 แสนล้านบาทหนุนเศรษฐกิจขยายตัวเพิ่มอีก ครม.อนุมัติการหักภาษีความเสียหายจากน้ำท่วมในภาคใต้ เป็นการช่วยเหลือผู้ประสบภัยและหนุนเศรษฐกิจในเขตน้ำท่วม

หุ้นเด่นวันนี้: ADVANC (ราคาปิด 156.50 บาท; ซื้อ; ราคาเป้าหมาย AWS 200.00 บาท)

เราเลือก บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิสเป็นหุ้นเด่นวันนี้เนื่องจากปฏิเสธไม่ได้ว่าบริษัทเป็นผู้นำในกลุ่มโทรคมนาคมโดยเฉพาะในแง่จำนวนเลขหมายมือถือและต้นทุนการกำกับดูแลที่ต่ำกว่าซึ่งช่วงให้คงความเป็นผู้นำได้ต่อไป การก้าวเข้าสู่ธุรกิจ 4G และอินเทอร์เน็ตตามสาย (FBB) น่าจะเพิ่มรายได้ประจำให้บริษัทอย่างต่อเนื่องซึ่งจะสนับสนุนการเติบโตของรายได้ ศักยภาพของ ADVANC จึงน่าจะถูกปลดล็อคไปอีกขั้นด้วยธุรกิจใหม่เหล่านี้ ด้านธุรกิจ FBB หรือ AIS Fibreก็ได้เติบโตอย่างรวดเร็วจากรายได้แค่ 1 ลบ. ในไตรมาส 4/57 เป็น 65 ลบ. ในไตรมาส 4/58 และ 232 ลบ. ไตรมาส 3/59 เราเชื่อว่า FBB จะมีสัดส่วนที่มีนัยสำคัญในไม่ช้า ส่วนรายได้จากบริการข้อมูลก็เติบโตถึงสองหลักมาเป็นปีๆ เพราะความนิยมในเครือข่ายสังคมออนไลน์และการรับชมวีดิโอในประเทศไทย เรามองว่าบริษัทมีมูลค่าแบรนด์ที่แข็งแกร่งที่สุดซึ่งจะทำให้ ADVANC สามารถเก็บเกี่ยวรายได้จากการเติบโตของการใช้ข้อมูลอินเทอร์เน็ตได้เมื่อเทียบกับคู่แข่ง เราคาดว่ากำไรจะเติบโต 8% ปี 60 และ 9% ในปี 61 ตามลำดับ ราคาล่าสุดยังคงให้อัพไซด์อยู่ราว 28% เทียบเป้าหมายราคาปี 60 ของเรา และเรายังคงเชื่อว่า ADVANC จะยังคงนโยบายปันผล 100% ของกำไรสุทธิ ซึ่งน่าจะปันผลตอบแทนที่คาดสูงถึง 7% ซึ่งนับว่าสูงสุดในเหล่าหุ้นขนาดใหญ่ Price Pattern ของ ADVANC มีความแข็งแกร่งทั้งในระยะสั้นและระยะกลาง จากการเกิดทั้ง Daily & Weekly Buy Signal แม้ว่าแนวโน้มหลักของ ADVANC ยังอยู่ในแนวโน้มขาลง (Downtrend) จากการเกิด Monthly Sell Signal อยู่ก็ตาม ADVANC น่าจะทดสอบเป้าหมายแรกที่ 173 บาท และมีเป้าหมายเบื้องต้นอยู่ที่ 199 บาท ตามลำดับ นอกจากนั้นทั้ง Daily & Weekly Buy Signal บ่งบอกว่าการเปิด Falling Gap ของ ADVANC ที่ผ่านมานั้นกลายเป็นเรื่องผิดปกติและจะได้รับการปิดในที่สุด โดย ADVANC มีการเปิด Falling Gap สำคัญอยู่ที่ 159.50 บาท และ 184 บาท ตามลำดับ ซึ่งหาก Price Pattern ของ ADVANC ไม่กลับมาเกิด Daily Sell Signal ครั้งใหม่ด้วยการปิดตลาดต่ำกว่า 151 บาท คาดว่าเป้าหมายในการ Rebound รอบนี้อยู่ที่การปิด Falling Gap แรกที่ 159.50 บาทเป็นอย่างน้อย ทั้งนี้ ADVANC มีจุด Stop Loss ระยะสั้นอยู่ที่ 150.50 บาท (แนวต้าน: 157.00, 157.50, 159.00; แนวรับ: 156.00, 155.50, 154.00)

ปัจจัยสำคัญ

ประเด็นในประเทศ:

• ครม.เห็นชอบจัดงบกลางปี 60 เพิ่มเติม ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเห็นชอบการจัดทำงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ 2560 วงเงิน 1.9 แสนล้านบาท โดยหลักๆ จะเป็นกรอบวงเงินแผนงานบูรณาการเพื่อสร้างความเข้มแข็งและยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจภายในประเทศ 1.1 แสนล้านบาท แบ่งเป็น งบประมาณตามแผนพัฒนากลุ่มจังหวัด, กองทุนพัฒนา SME ตามแนวประชารัฐ และงบกลาง รายการค่าใช้จ่ายส่งเสริมและสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจในประเทศ (InfoQuest)

• เห็นชอบลดหย่อนภาษีซ่อมบ้านและรถจากน้ำท่วม ครม.วานนี้ได้เห็นชอบการให้ลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสูงสุดถึง 1 แสนบาทสำหรับค่าใช้จ่ายซ่อมแซมหลังน้ำท่วม สูงสุด 1 แสนบาทสำหรับสินทรัพย์และสูงสุด 3 หมื่นบาทสำหรับพาหนะ การยกเว้นภาษีตามเกณฑ์ของก.คลังนี้ จะใช้สำหรับค่าใช้จ่ายตั้งแต่ 1 ธ.ค. 59 ถึง 31 พ.ค. 60 เท่านั้น (Bangkok Post) ความเห็น: น่าจะเป็นผลบวกแก่ผู้ประกอบการที่เกี่ยวกับวัสดุก่อสร้างและผู้ค้าเช่น HMPRO (10.4 บาท) GLOBAL (18 บาท) และ DCC (4.70 บาท)

• ผู้เชี่ยวชาญด้านอสังหาริมทรัพย์หลายรายกล่าวว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ของไทยอยู่ห่างไกลจากการฟองบู่ แม้ว่าราคาจะมีการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญสำหรับตลาดคอนโดมิเนียมในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา(บางกอกโพสต์)

• KBANK (ราคาปิด 185.00 บาท, ซื้อ, ราคาเป้าหมายปี 60 217.00 บาท) รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 4/59 ที่ 1.02 หมื่นล้านบาท ลดลง 5.6% QoQแต่เพิ่มขึ้น 87.1% YoYสาเหตุหลักมาจากการตั้งสำรองหนี้เสียที่ลดลงและการหายไปของการตั้งสำรองการด้อยค่าโปรแกรมคอมพิวเตอร์ (SET) ความเห็น: ผลประกอบการดังกล่าวเป็นไปตามทั้งประมาณการของเราและประมาณการเฉลี่ยบลูมเบิร์ก

• LH (ราคาปิด 9.85 บาท) มีแผนจะเปิดตัว 12 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 14,900 ล้านบาทคาดเป็นยอดขาย Presales 26,000 ล้านบาท และบันทึกเป็นรายได้34,200 ล้านบา ในปี 2560 บริษัทคาดมียอดโอนที่อยู่อาศัยมูลค่า 31,000 ล้านบาทเพิ่มขึ้นจาก 28,000 ล้านบาทในปี 2559ในขณะที่สถานการณ์โดยรวมในปีนี้จะดีกว่าปีที่ผ่านมา ซึ่งในส่วนของยอดขาย จะมีรายได้ 3,150 ล้านบาท จากการให้เช่าพื้นที่รวมทั้งโรงแรม4 แห่งในกรุงเทพฯ และพาร์ทเมนท์ในสหรัฐฯ 4 แห่งรวมเข้ามาด้วยซึ่งเป็นรายได้ที่เพิ่มขึ้นจาก 2,800 ล้านบาท จากปีที่ผ่านมาคิดเป็น 10% ของรายได้รวมต่อปี(บางกอกโพสต์)

ต่างประเทศ:

• ราคาพันธบัตรปรับตัวขึ้นเมื่อวันอังคาร จากความกังวลเกี่ยวกับนโยบายปกป้องทางการค้าของทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ ซึ่งส่งผลกระทบต่อดอลลาร์สหรัฐและเพิ่มความต้องการพันธบัตรสหรัฐมากขึ้น ราคาพันธบัตรอายุ 10 ปี ปรับตัวขึ้น 14/32 อัตราผลตอบแทนอยู่ที่ระดับ 2.33% ลดลงจากที่ระดับ 2.38% เมื่อวันศุกร์ โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรดังกล่าวก่อนหน้านี้ร่วงลงสู่ระดับ 2.305% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับแต่เดือนพ.ย. (Reuters)

• ดอลลาร์สหรัฐร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 4 สัปดาห์เมื่อวันอังคาร ปรับตัวลงเทียบกับสกุลเงินหลัก 10 สกุลโดยเงินปอนด์แข็งค่าขึ้นหลังนางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษกล่าวสุนทรพจน์เกี่ยวกับแผนการของอังกฤษในการแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) ซึ่งส่งผลให้เงินปอนด์แข็งค่าขึ้นมากที่สุดในรอบวันนับแต่ปี 2008 เงินยูโรแข็งค่าเหนือระดับ 1.07 ดอลลาร์สหรัฐเป็นครั้งแรกนับแต่วันที่ 8 ธ.ค. ในขณะที่ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงต่ำกว่า 113 เยน ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับแต่เดือนพ.ย. ดัชนีค่าเงินดอลลาร์เทรดกันที่ระดับ 100.44 จุด และปรับตัวลงเกือบ 3.5% จากที่ใกล้ระดับสูงสุดในรอบ 15 ปีที่ 103.82 จุดเมื่อวันที่ 3 ม.ค. (Reuters)

สหรัฐ:

• ตลาดหุ้นสหรัฐปิดลดลงเมื่อวันอังคาร โดยกลุ่มการเงิน ขนส่งและกลุ่มอื่น ๆ ที่ปรับตัวขึ้นมากตั้งแต่หลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐได้ปรับตัวลงเนื่องจากการประกาศผลประกอบการกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีชีวภาพและยาร่วงลงหลังทรัมป์กล่าวว่าเขาพุ่งเป้าไปที่บริษัทเหล่านี้ในประเด็นที่เกี่ยวกับการตั้งราคายา อีกทั้งมีอีกปัจจัยที่กดดันตลาดเกี่ยวกับนโยบายปกป้องทางการค้าของทรัมป์ ความกังวลดังกล่าวส่งผลให้ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงต่ำสุดในรอบกว่า 1 เดือนและอัตราพันธบัตรได้ปรับตัวลงเนื่องจากนักลงทุนเทขายลดความเสี่ยง (Reuters)

ยุโรป:

• ตลาดหุ้นยุโรปเมื่อวันอังคารทรงตัวหลัง Theresa May นายกฯ อังกฤษออกมากล่าวทำความเข้าใจในเชิงประนีประนอมต่อแผนกระบวนการแยกตัวออกจาก EU (Reuters)

• นายกฯ อังกฤษเผยแถลงการณ์แผน Brexitด้วยการประกาศถอนตัวจากตลาดร่วมยุโรป นอกจากนี้ยังได้เปิดเผยวัตถุประสงค์ในการเจรจากับ EU จำนวน 12 ข้อ ภายใต้เป้าหมายใหญ่ในการทำให้อังกฤษเป็นหุ้นส่วนที่สร้างสรรค์กับ EU อาทิ การทำข้อตกลงการค้าเสรีฉบับใหม่กับ EU การเคลื่อนย้ายคนและสินค้าอย่างเสรี การถอนตัวออกจากศาลยุติธรรมยุโรป (ECJ) เพื่อกลับมามีอำนาจใช้กฎหมายของประเทศ และที่สำคัญที่สุดคือการทำให้อังกฤษสามารถควบคุมการเข้าประเทศของชาวต่างชาติที่เดินทางมาจากยุโรป ทั้งนี้รัฐสภาจะต้องมีการโหวตเพื่อสรุปสุดท้ายแผนการแยกตัวอีกครั้ง (Reuters)

เอเชีย:

• โลกต้องการให้จีนและสหรัฐอเมริกาคงความสัมพันธ์ที่มั่นคงและความร่วมมือกัน ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงของจีนบอกกับรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ โจไบเดนเพียงไม่กี่วันก่อนที่จะมีความไม่แน่นอนใหม่ว่าโดนัลด์ทรัมป์อาจจะสละตำแหน่งประธานาธิบดี บนสนามของการประชุม World Economic Forum ที่เมืองดาวอส โดยเขาบอกกับไบเดนว่าเขาประเมินในเชิงบวกในความพยายามของเขาที่จะเพิ่มมิตรภาพและความเข้าใจซึ่งกันและกันระหว่างทั้งสองประเทศ(Reuters)

• คณะรัฐมนตรีจีนออกมาตรการในวันอังคารเพื่อเปิดรับการลงทุนจากต่างประเทศที่จะมาลงในจีน รวมทั้งการผ่อนคลายข้อ จำกัดเกี่ยวกับการลงทุนในธนาคารและสถาบันการเงินอื่น ๆ รวมทั้งหลักทรัพย์จัดการลงทุนฟิวเจอร์สประกันการจัดอันดับเครดิตและ บริษัทสอบบัญชี(Reuters)

สินค้าโภคภัณฑ์:

• น้ำมันดิบปรับตัวขึ้นวันอังคาร เพราะดอลลาร์ที่อ่อนค่าและความเห็นจากซาอุฯ ว่าจะยึดถือคำมั่นเรื่องการลดกำลังการผลิต น้ำมันดิบ Brent ปิดบวก 15 เซนต์ (+0.3%) หรือปิด 56.01 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล น้ำมันดิบสหรัฐล่วงหน้าบวก 52 เซนต์ (+1%) ปิด 52.89 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล น้ำมันทั้งสองต่างขึ้นไปราว 1 ดอลลาร์สหรัฐช่วงต้นวันอังคาร (Reuters)

• ราคาทองคำปรับตัวบวกกว่า 1% แตะจุดสูงสุดเกือบ 8 สัปดาห์ในวันอังคาร หลังความเห็น Donald Trump ว่าดอลลาร์แข็งเกินไป ทำให้ต่อมาดอลลาร์อ่อนค่าลง ราคาทองคำตลาดจรปิดบวก 0.7% ที่ 1,217.11 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หลังแตะจุดสูงสุดนับแต่ 22 พ.ย. ที่ 1,218.64 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ราคาทองคำล่วงหน้าสหรัฐปิดบวก 1.3% ที่ 1,211.80 ดอลลาร์สหรัฐ (Reuters)