'สมาคมฟุตบอล'เปิดอบรม'เอ ไลเซนส์' หวังพัฒนาฟุตบอลไทย

'สมาคมฟุตบอล'เปิดอบรม'เอ ไลเซนส์' หวังพัฒนาฟุตบอลไทย

พล.ต.อ. สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ร่วมเปิดงานอบรมโค้ช

    ระดับ เอเอฟซี ‘เอ’ เซอร์ติฟิเคท ที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพ-ธนบุรี พร้อมระบุการอบรมดังกล่าวจะช่วยพัฒนากีฬาฟุตบอล ตั้งแต่ระดับรากหญ้าจนถึงระดับชาติ

     วานนี้ (13 ม.ค.) ได้มีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการ ประกอบไปด้วย พล.ต.อ. สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ พร้อมด้วย ดร.ดวงฤทธิ์ เบ็ญจาธิกุล ชัยรุ่งเรือง รองอธิการบดีฝ่ายกิจการนักศึกษา และ มร.อิสลาม อัคมาดอฟ วิทยากรจากประเทศอุซเบกิสถาน เป็นประธานในพิธีเปิด อบรมหลักสูตร เอเอฟซี ‘เอ’ - เซอร์ติฟิเคท โค้ชชิง คอร์ส ที่เริ่มการอบรมไปเมื่อวันที่ 4 ม.ค. และจะเสร็จสิ้นในวันที่ 30 ม.ค. นี้

     สำหรับการอบรม เอเอฟซี ‘เอ’ เซอร์ติฟิเคท เป็นหลักสูตรเพื่อพัฒนาบุคลากรโค้ชกีฬาฟุตบอลของประเทศไทย โดยได้รับเกียรติจาก มร.อิสลาม อัคมาดอฟ จากประเทศอุซเบกิสถาน มาเป็นวิทยากร พร้อมด้วยคุณ วิบูลย์ มณีฉาย เป็นผู้ช่วยวิทยากร โดยมีผู้เข้าร่วมอบรมทั้งหมด 25 ราย เช่น อนุรักษ์ ศรีเกิด อดีตหัวหน้าผู้ฝึกสอนฟุตบอลทีมชาติไทยชุดยู-19, รังสรรค์ วิวัฒน์ชัยโชค กองกลางจอมเก๋าจาก สุพรรณบุรี เอฟซี และ อิสระ ศรีทะโร ผู้ช่วยผู้ฝึกสอนทีมชาติไทยรุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี

     หลังพิธีเปิด พล.ต.อ. สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ กล่าวว่า วันนี้เป็นพิธีเปิดอย่างเป็นทางการของการอบรม เอเอฟซี เอ ไลเซนส์ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก เอเอฟซี (สมาพันธ์ฟุตบอลแห่งเอเชีย) ให้จัดขึ้นที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพ-ธนบุรี โดยการอบรมหรือหลักสูตรการอบรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโค้ชหรือผู้ตัดสิน ผู้ควบคุมการแข่งขัน ผู้ประเมินผู้ตัดสิน หรือบุคลากรใดๆที่เกี่ยวข้องกับวงการกีฬา คือนโยบายของสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ เนื่องจากตระหนักดีว่า การพัฒนาบุคลากรในวงการกีฬาเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างยิ่ง และเราขาดการพัฒนาตรงนี้มายาวนาน โดยก่อนหน้านี้ตนเองได้คุยกับ ชีค ซัลมาน บิน อิบรอฮีม อัล คอลิฟาห์ ประธานเอเอฟซี ตอนที่ไปเยี่ยมท่านว่า การอบรมใดๆหรือกิจกรรมของเอเอฟซี ถ้าไม่มีประเทศไหนสนใจเป็นเจ้าภาพจัด ประเทศไทยพร้อมที่จะเป็นเจ้าภาพ เพราะตนเองต้องการสร้างกระแสการพัฒนาบุคลากรทางกีฬาฟุตบอลขึ้นในประเทศไทย เพราะว่าการอบรมเอไลเซนส์ในครั้งนี้ถือเป็นอีกก้าวของการพัฒนาบุคลากรโค้ชในประเทศไทย

     นอกจากนี้ “บิ๊กอ็อด” ยังระบุเพิ่มเติมว่า การอบรมโค้ชก็ไล่มาตั้งแต่ซีไลเซนส์จนถึงโปรไลเซนส์ ซึ่งจนถึงวันนี้ประเทศไทยเพิ่งมีโค้ชโปรไลเซนส์แค่คนเดียว แต่เชื่อว่าในอนาคต หรือปีหน้าเราจะมีโค้ชโปรไลเซนส์ประมาณ 16 คน รวมถึงคิดว่าปีต่อๆ ไปเราจะมีการฝึกอบรมเพื่อเพิ่มโค้ชระดับต่างๆมากขึ้น เพื่อที่โค้ชเหล่านี้จะได้ไปทำหน้าที่พัฒนานักกีฬาฟุตบอล ตั้งแต่ระดับรากหญ้าจนถึงระดับชาติ ซึ่งต่อไปโค้ชในสโมสรต่างๆ ที่ต้องไปแข่งในระดับเอเอฟซี จะต้องมีใบอนุญาตโปรไลเซนส์ แต่ในประเทศไทยเรายังไม่มีโค้ชโปรไลเซนส์ ทำให้หลายสโมสรต้องจ้างชาวต่างชาติ ซึ่งนี่คือจุดอ่อนของประเทศไทย ถ้าในอนาคตเรามีโค้ชโปรไลเซนส์ สโมสรก็จะสามารถจ้างโค้ชชาวไทยมาทำหน้าที่ตรงนี้แทนโค้ชต่างชาติได้อย่างถูกกฎ