'เวิลด์แบงก์' หวั่นนโยบายทรัมป์ฉุดลงทุน

'เวิลด์แบงก์' หวั่นนโยบายทรัมป์ฉุดลงทุน

"เวิลด์แบงก์" คาดเศรษฐกิจโลกปีนี้ขยายตัวมากกว่าปีที่แล้วมาที่ 2.7% หลังราคาน้ำมันดีดตัว หวั่นความไม่แน่นอนจากนโยบาย "ทรัมป์" ฉุดการลงทุน

ธนาคารโลกระบุในรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลกฉบับล่าสุด คาดว่าผลิตภัณฑ์มวลรวม (จีดีพี) ของทั้งโลกจะดีดตัวขึ้นมาอยู่ที่ 2.7% ในปีนี้ หลังจากอยู่ในระดับต่ำเพียง 2.3% เมื่อปีที่แล้ว ตัวเลขดังกล่าวถือเป็นการปรับลดจากคาดการณ์เมื่อเดือนมิ.ย.ปีที่แล้วลง 0.1%

สำหรับเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วคาดว่าจะโต 1.8% ปีนี้ จาก 1.6% ปีที่แล้ว ส่วนเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่และประเทศกำลังพัฒนา คาดว่าจะขยายตัวได้ถึง 4.2% ปีนี้ จาก 3.4% ปีที่แล้ว

ปัจจัยที่หนุนนำการเติบโต คือราคาน้ำมันและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ฟื้นตัวขึ้น อันช่วยบรรเทาแรงกดดันต่อประเทศที่ส่งออกน้ำมัน ประกอบกับภาวะถดถอยในบราซิล อาร์เจนตินา และรัสเซียยุติลง

คาดสหรัฐขยายตัว2.2%

ธนาคารโลกคาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะขยายตัว 2.2% ปีนี้ จาก 1.6% ปีที่แล้ว นายเอฮัน โคเซ ผู้จัดทำรายงานคาดการณ์เศรษฐกิจโลก ระบุว่ายังเร็วเกินไปที่จะสรุปลงไปเกี่ยวกับนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ แต่การวิเคราะห์รูปแบบการลดภาษีบุคคลธรรมดาและภาษีนิติบุคคลตามที่นายทรัมป์ระบุไว้ช่วงหาเสียง อาจผลักดันเศรษฐกิจสหรัฐให้ขยายตัวเพิ่มขึ้นได้ 0.3% ปีนี้ และเพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่าในปีถัดไป

นอกจากนั้น การทุ่มใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐานตามที่นายทรัมป์หาเสียงไว้ จะก่อให้เกิดผลกระทบในวงกว้างมากขึ้นไปอีก

การเติบโตอย่างแข็งแกร่งของสหรัฐ ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุของการเพิ่มมาตรการการคลังหรือด้วยเหตุผลอื่น จะเป็นผลดีอย่างมากต่อเศรษฐกิจโลก แต่ภาวการณ์ในสหรัฐอาจทำให้อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้นและเงื่อนไขการเงินตึงตัวขึ้น ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อตลาดเกิดใหม่บางประเทศ

หวั่นกระแสกีดกันการค้า

นอกจากนั้น เศรษฐกิจโลกยังเผชิญความไม่แน่นอน สืบเนื่องจากความไม่ชัดเจนด้านนโยบายเศรษฐกิจของนายทรัมป์ เพราะบรรดานักลงทุนอาจชะลอการลงทุนจนกว่าจะเห็นความชัดเจนด้านนโยบาย

นายโคเซ กล่าวว่า กระแสกีดกันการค้าที่อาจเพิ่มมากขึ้นในประเทศพัฒนาแล้ว เป็นอีกประเด็นที่น่าวิตก และความไม่แน่นอนในส่วนนี้ถือเป็นการท้าทายสำหรับภาคธุรกิจทั้งในสหรัฐและทั่วโลก ในทางตรงกันข้ามหากมีการใช้นโยบายการค้าที่เปิดกว้าง จะช่วยส่งเสริมการขยายตัวทางเศรษฐกิจ

สำหรับเศรษฐกิจจีน คาดว่าจะขยายตัว 6.5% ปีนี้ และ 6.3% จาก 6.7% ปีนี้ ซึ่งนายโคเซระบุว่าเป็นการชะลอตัวอย่างมีทิศทางที่ดี เพราะรัฐบาลกรุงปักกิ่งปรับโครงสร้างเศรษฐกิจได้ดีมากจากการพึ่งพาการส่งออก หันไปเน้นการบริโภคในประเทศ อันทำให้เศรษฐกิจลดลงจากที่เคยขยายตัวถึง 10%

เศรษฐกิจไทยโต3.2%

ขณะที่ไทยคาดว่าจะเติบโตได้ 3.2% ปีนี้ จาก 3.1% ปีที่แล้ว และเพิ่มเป็น 3.3% ในปีหน้า ด้านเศรษฐกิจอินเดียซึ่งเติบโตสูงลิ่ว ก็คาดว่าจะขยายตัวถึง 7.6% ปีนี้ จาก 7% เมื่อปีที่แล้ว

ในส่วนของยูโรโซนคาดว่าจะขยายตัว 1.5 ปีนี้ และ 1.4% ในปีหน้า จาก 1.6% เมื่อปีที่แล้ว สำหรับญี่ปุ่นคาดว่าจะเติบโตในระดับ 0.9% ปีนี้ และ 0.8% ปีหน้า

ร้องเพิ่มลงทุน

นายจิม ยองคิม ประธานธนาคารโลก แถลงว่าหลังจากเศรษฐกิจโลกขยายตัวอย่างน่าผิดหวังมาหลายปี ในปีนี้ถือเป็นแนวโน้มดีที่การเติบโตจะเพิ่มขึ้น ดังนั้นจึงเป็นโอกาสอันดีที่จะเพิ่มการลงทุนทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐานและทรัพยากรมนุษย์

ด้านนายโคเซกล่าวว่าประเด็นที่น่าวิตกที่สุดสำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจโลก คือการลงทุนที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในตลาดเกิดใหม่และประเทศกำลังพัฒนา

ทั้งนี้ การลงทุนเพิ่มขึ้น 10% เมื่อปี 2553 แต่ลดลงต่อเนื่องหลังจากนั้น จนกระทั่งเติบโตเพียง 3.5% เมื่อปี 2559 ซึ่งปัจจัยหนึ่งที่ทำให้การลงทุนลดลง น่าจะสืบเนื่องจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ทรุดตัว อันทำให้การลงทุนในอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องลดน้อยลง และเกิดปัญหาหนี้ในบางประเทศ ทั้งยังเกิดความไม่แน่นอนทางการเมืองในบางประเทศ