'รมว.พลังงาน'ไม่ขัดแผนปรับโครงสร้างปตท.

'รมว.พลังงาน'ไม่ขัดแผนปรับโครงสร้างปตท.

"รมว.พลังงาน" เตรียมรายงาน กพช. ไม่ขัดแผนปรับโครงสร้างธุรกิจ ปตท.ชี้เป็นไปตามรธน. "เทวินทร์" ชี้ซื้อหุ้นบริษัทลูกคืนมากกว่า 50% อาจผิดกม.

พล.อ.อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า กระทรวงพลังงาน เตรียมนำเสนอข้อมูลต่อคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(กพช.)ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ในการประชุมเดือน ก.พ. นี้ เพื่อยืนยันว่ากระทรวงพลังงานไม่ขัดข้องกับการปรับโครงสร้างธุรกิจน้ำมันและค้าปลีกของบริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) ที่แยกเป็นบริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ PTTOR และเตรียมนำเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพราะการปรับโครงสร้างดังกล่าวไม่มีผลกระทบต่อความมั่นคงด้านพลังงาน เนื่องจากปัจจุบันธุรกิจน้ำมันมีเอกชนเข้ามาแข่งขันมากขึ้น

"กรณีที่คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ(คนร.) มอบหมายให้กระทรวงพลังงาน ตรวจสอบของท้วงติงของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) ที่เป็นห่วงเรื่องการปรับโครงสร้างธุรกิจค้าปลีกของปตท.จะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงด้านพลังงานนั้น กระทรวงพลังงาน เห็นว่าเป็นการดำเนินการตามรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่ไม่ต้องการให้รัฐวิสาหกิจดำเนินธุรกิจเพื่อแข่งขันกับเอกชน และการปรับโครงสร้างดังกล่าวไม่ทำให้รัฐเสียเปรียบ"

ด้านนายเทวินทร์ วงศ์วานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปตท.เตรียมชี้แจงกระทรวงพลังงาน กรณี สตง.มีความเป็นห่วงเรื่องการปรับโครงสร้างธุรกิจน้ำมันและค้าปลีกของ ปตท. โดยแยกเป็น บริษัท PTTOR ใน 3 ประเด็น คือ 1.เรื่อความมั่นคงด้านพลังงานและผลกระทบต่อผู้บริโภค ปตท.ยืนยันว่า การปรับโครงสร้างธุรกิจดังกล่าวไม่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ เพราะดำเนินการดังกล่าวเป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่กำหนดไม่ให้รัฐวิสาหกิจดำเนินธุรกิจเพื่อแข่งขันกับเอกชน ซึ่งปัจจุบันกิจการน้ำมันและค้าปลีกมีการพัฒนาและแข่งขันมากขึ้น

2. กรณีทรัพย์สินที่เป็นของรัฐจะสูญเสียไปหรือไม่นั้น ปตท.ยืนยันว่า ทรัพย์สินในส่วนที่เป็นสาธารณะสมบัติของรัฐ คือ ท่อก๊าซธรรมชาติ ปตท.ได้ส่งคืนภาครัฐตามคำสั่งศาลไปแล้ว แต่ในส่วนของท่อน้ำมัน คลังน้ำมัน และสถานีบริการน้ำมัน ไม่นับว่าเป็นสาธารณะสมบัติ จึงยังบริหารจัดการได้ และการกระจายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ยังเป็นการเพิ่มมูลค่าทรัพย์สินของรัฐ เห็นได้จากการที่ ปตท.เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ แล้วมีมูลค่าทรัพยสินเพิ่มขึ้น

3.กรณีที่ต้องการให้ ปตท.เข้าไปซื้อหุ้นจากบริษัทลูกที่ถือต่ำกว่า 50% ให้มีสัดส่วนมากกว่า 50% เพื่อให้บริษัทลูกมีฐานะเป็นรัฐวิสาหกิจนั้น ปตท. มองว่า จำเป็นต้องพิจารณาด้วยความระมัดระวัง เพราะอาจผิดรัฐธรรมนูญได้ และไม่แน่ใจว่าจะดำเนินการได้หรือไม่ รวมถึงจะต้องใช้เงินจำนวนมากในการซื้อหุ้นคืน และยังไม่เห็นถึงประโยชน์ชัดเจนที่จะเกิดขึ้น ซึ่งเรื่องนี้ ปตท.จะต้องชี้แจงไปยังกระทรวงพลังงานและกระทรวงการคลังต่อไป