‘เทมเพิลตัน’ทิ้งหุ้นยูแวน ปีหน้าจ่อซื้อไอที-คอนซูเมอร์

 ‘เทมเพิลตัน’ทิ้งหุ้นยูแวน  ปีหน้าจ่อซื้อไอที-คอนซูเมอร์

กองทุน "เทมเพิลตัน" ขายหุ้นยูแวนทำกำไร พร้อมประเมินปี60 กลุ่มคอนซูเมอร์-ไอที น่าสนใจล งทุน

จากแบบรายงานการได้มาหรือจำหน่ายหลักทรัพย์ของกิจการพบรายงานการขายหุ้นยูนิวานิชน้ำมันปาล์ม (UVAN) โดยกองทุน Templeton Emerging Markets Investment Trust ในสัดส่วน 2.021 ล้านหุ้น หรือ 0.22% คงเหลือสัดส่วนถือ 4.81%

การขายหุ้นในครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ราคาหุ้นยูนิวานิช พุ่งขึ้น 29.5% ชนเพดานซื้อขายระหว่างวันที่ 18 ธ.ค. ที่ผ่านมา จากนั้นวันที่ 19 ธ.ค. กองทุนเทมเพิลตันจึงขายหุ้นออกมาในสัดส่วนดังกล่าว ซึ่งราคาซื้อหุ้นเฉลี่ยในวันนั้นอยู่ที่ 7.56 บาท

เหตุผลในการขายหุ้นยูนิวานิช ครั้งนี้ไม่ได้มีการเปิดเผยออกมา แต่จะเห็นว่ามีส่วนต่างราคาหุ้นที่เทมเพิลตันได้รับประมาณ6-7% เพราะเทมเพิลตันเข้าถือหุ้นยูนิวานิช ตั้งแต่ปี 2554 โดยซื้อเข้ามารวดเดียว 5.02% ที่ราคาสูงสุด 71 บาท ก่อนจะมีการแตกพาร์จาก 5 บาท เป็น 0.5 บาท และเมื่อปี 2556 ราคาหุ้นเคยพุ่งขึ้นแตะจุดสูงสุดที่ 15 บาท

หลังจากนั้นราคาหุ้นปรับตัวลดลงต่อเนื่องจนลงมาอยู่ที่ราว 6 บาท ก่อนหน้านี้ ตามผลประกอบการที่ลดลง 4 ปีติดต่อกัน โดยเมื่อปี 2554 มีกำไรสุทธิ 1,282 ล้านบาท ก่อนจะลดลงมาเหลือ 435 ล้านบาท เมื่อปี 2558 และช่วง 9 เดือนของปีนี้ มีกำไรสุทธิ 275 ล้านบาท ลดลง 15.55% จากงวดเดียวกันปีก่อน

เป็นอีกครั้งที่ปรากฏชื่อของเทมเพิลตันทำรายการซื้อขายหุ้นในไทยในปีนี้ แต่ที่ผ่านมาจะเป็นการเข้ามาซื้อหุ้นเกือบทั้งหมด อย่าง เอแอลที (ALT) วีจีไอ (VGI) ดับบลิวเอชเอ (WHA) เจดับเบิ้ลยูดี (JWD) เอสซีไอ (SCI) ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ (ORI) และก่อนหน้าก็เข้ามาลงทุนในหุ้นอย่าง ยูบิลลี่ (JUBILE) ศรีสวัสดิ์ พาวเวอร์ (SAWAD) และบิวตี้ คอมมูนิตี้ (BEAUTY)

อย่างไรก็ตาม หลัง โดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ เมื่อต้นเดือน พ.ย. ส่งผลให้ต่างชาติทยอยขายหุ้นในภูมิภาคเอเชียอย่างต่อเนื่อง รวมถึงหุ้นไทยด้วย โดยเดือน ต.ค. ขายออก 1.80 หมื่นล้านบาท เดือน พ.ย. ขายออก 3.69 หมื่นล้านบาท และตั้งแต่ต้นเดือน ธ.ค. ขายออก 5.18 พันล้านบาท หลังจากที่ช่วง 9 เดือนแรก เคยซื้อสะสมถึง 1.3 แสนล้านบาท

ทั้งนี้ การที่เราเห็นเทมเพิลตันเข้ามาลงทุนในหุ้นไทยมากขึ้น ก็สอดคล้องกับ มาร์ค โมเบียส ประธานบริหารของ Templeton Emerging Markets Group ซึ่งให้ความเห็นไว้ว่า การร่วมมือทางเศรษฐกิจที่มีน้อยลงในทวีปยุโรปจะทำให้ทวีปเอเชียได้ประโยชน์ โดยเฉพาะหลังจากที่ทุกๆ คนมีโอกาสได้ทบทวนถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

ขณะที่ในปีหน้ามองว่า บริษัทจดทะเบียนในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค และกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นกลุ่มที่น่าลงทุน เนื่องจากบริษัทจดทะเบียนในกลุ่มดังกล่าวบางแห่งไม่เพียงแต่ได้รับผลดีจากการขยายตัวของเศรษฐกิจตลาดเกิดใหม่ แต่ยังได้รับผลดีจากการขยายตัวของการใช้จ่ายผู้บริโภคด้วย

‘แม้ว่าเราจะมีความกังวลเกี่ยวกับการเพิ่มขึ้นของราคาหุ้นในกลุ่มไอทีของจีน แต่เราเห็นราคาหุ้นกลุ่มนี้ในตลาดเกิดใหม่โดยรวมยังอยู่ในระดับที่น่าลงทุน’

นอกจากนี้ หุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์บางบริษัทยังคงน่าลงทุนในแง่ของราคาที่ยังถูก แม้ราคาน้ำมันในตลาดโลกจะได้ปรับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วมาแล้วในระยะที่ผ่านมา และหุ้นน่าสนใจลงทุนอีกกลุ่มคือหุ้นขนาดเล็กที่พึ่งพาการขยายตัวของเศรษฐกิจในประเทศ