ชงแผนไทยแลนด์4.0เริ่มเดินเครื่องปีหน้า

ชงแผนไทยแลนด์4.0เริ่มเดินเครื่องปีหน้า

"สุวิทย์" เตรียมชงแผนขับเคลื่อน "ไทยแลนด์4.0" ให้นายกรัฐมนตรี คาดไทยเข้าสู่ประเทศพัฒนาแล้วในปี 2575 ประเมินเศรษฐกิจโต 5-6%

นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐ เปิดเผยว่าขณะนี้ได้จัดทำแผนปฏิบัติการขับเคลื่อนนโยบายประเทศไทย4.0ตามคำสั่งพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เสร็จเรียบร้อยแล้วและเตรียมนำเสนอนายกรัฐมนตรีในเร็วนี้ โดยนายกรัฐมนตรีต้องการให้นำวิสัยทัศน์ประเทศไทย4.0สู่แผนปฏิบัติที่มีความเป็นรูปธรรมและชัดเจนเพื่อนำไปสู่เป้าหมายการพัฒนาประเทศเป็นประเทศไทย 4.0 ได้ในอนาคต

ทั้งนี้แผนปฏิบัติการขับเคลื่อนจะประกอบด้วย 5 วาระสำคัญได้แก่ 1.การเตรียมคนไทย4.0เพื่อก้าวสู่ประเทศที่พัฒนาแล้วหรือประเทศในโลกที่1ภายในปี2575 2. การพัฒนาคลัสเตอร์เทคโนโลยีและอุตสาหกรรมแห่งอนาคต 3.การบ่มเพาะผู้ประกอบการและพัฒนาเครือข่ายวิสาหกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม4.การเสริมความเข้มแข็งของเศรษฐกิจภายในประเทศผ่านกลไกของ18กลุ่มจังหวัดและ76 จังหวัด และ 5.การบูรณาการเศรษฐกิจไทยอาเซียนเชื่อมประเทศไทยสู่ประชาคมโลก

“ทั้ง 5 วาระในการขับเคลื่อนประเทศไทย 4.0 นั้นในส่วนของการเตรียมคนไทย 4.0 ก็เหมือนการเตรียมเมล็ดพันธุ์ชุดใหม่ จากนั้นก็จะเปลี่ยนจากการปักชำที่มีแต่รากฝอยสู่การมีรากแก้วที่แข็งแรงด้วยการพัฒนาคลัสเตอร์เทคโนโลยีและอุตสาหกรรมเป้าหมาย และมีลำต้นที่แข็งแกร่งสามารถงอกงามแผ่กิ่งก้านสาขา ด้วยการบ่มเพาะผู้ประกอบการและพัฒนาเครือข่ายวิสาหกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม และสร้างความเข้มแข็งภายในผ่านจังหวัด สุดท้ายได้เข้าไปอยู่ในระบบนิเวศน์โลก ด้วยการบูรณาการอาเซียนเชื่อมประเทศไทยสู่ประชาคมโลก”นายสุวิทย์กล่าว

ตั้งกรรมการนโยบาย-ทีมบริหารขับเคลื่อน

นายสุวิทย์ กล่าวว่ากลไกที่ใช้ในการขับเคลื่อนประเทศไทย4.0ให้เป็นรูปธรรมนั้นจะมีการตั้งคณะกรรมการกำกับนโยบายและยุทธศาสตร์ประเทศไทย 4.0 ในภาพรวม และมีคณะทำงานผลักดันวาระขับเคลื่อนตามนโยบายและยุทธศาสตร์ประเทศไทย4.0และอีกชุดคือ ทีมบริหารจัดการโครงการตามวาระขับเคลื่อน โดยมีการจัดตั้งสำนักงานประสานการขับเคลื่อนประเทศไทย4.0 เป็นตัวกลางในการสนับสนุนการดำเนินงานของทั้ง3 ระดับให้ออกมาเป็นรูปธรรม

ขณะที่เป้าหมายประเทศไทย 4.0 จะครอบคลุมใน 4 มิติ ประกอบด้วย 1.ความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ 2.ความอยู่ดีมีสุขทางสังคม 3.การยกระดับคุณค่ามนุษย์และ 4.การรักษาสิ่งแวดล้อม ซึ่งในส่วนของความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจนั้น จะปรับระบบเศรษฐกิจปัจจุบันที่ขับเคลื่อนด้วยการดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมเน้นการผลิตเพื่อส่งออก เป็นระบบเศรษฐกิจที่เน้นการสร้างมูลค่า ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม เทคโนโลยีและความคิดสร้างสรรค์ โดยจุดประสงค์เพื่อให้พ้นจากการเป็นประเทศรายได้ปานกลาง โดยมีรายได้ต่อหัวเพิ่มขึ้นจาก5,410 ดอลลาร์ในปี2557 เป็น15,000เหรียญสหรัฐฯในปี2575

ตั้งเป้าเศรษฐกิจโต5-6%ใน5ปี

นายสุวิทย์ กล่าวว่า การขยายตัวทางเศรษฐกิจนั้นจะเพิ่มจากระดับ3-4%เป็น5-6%ตามศักยภาพที่ควรจะเป็นของประเทศภายใน5ปี ส่วนในระยะ 10 ปีนั้นมีเป้าหมายที่สำคัญคือ การเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ (จีเอ็นพี) จาก 1.3% ในปี2556เป็นมากกว่า5%อย่างต่อเนื่องภายใน 10 ปี การผลักดันให้ประเทศไทยเป็นชาติการค้าและศูนย์กลางของธุรกิจในภูมิภาค ผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางตลาดทุนของอาเซียนภายใน 10 ปี มี 5 บรรษัทข้ามชาติระดับโลกสัญชาติไทย และมีความง่ายในการประกอบธุรกิจอยู่ใน10อันดับแรกของโลก

นอกจากนั้น ยังมุ่งเพิ่มระดับของงบประมาณเพื่อการวิจัยและพัฒนาจาก 0.25% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศใน2553เป็น4%เทียบเท่ากับประเทศเกาหลีใต้ รวมทั้งปรับเปลี่ยนสัดส่วนการพัฒนาเทคโนโลยีของตนเองต่อการพึ่งพาจากภายนอกจาก 10:90 ในปัจจุบันเป็น 30:70 ภายใน 10 ปี และ 60:40 ภายใน 20 ปี

ส่วนเป้าหมายความอยู่ดีมีสุขทางสังคม มีเป้าหมายที่สำคัญเช่น ลดสัดส่วนประชากรที่อยู่ใต้เส้นความยากจนเหลือ7.4%ภายใน5ปี และ5%ภายใน10ปี เปลี่ยนเกษตรกรเป็นสมาร์ทฟาร์มเมอร์จำนวน20,000 ครัวเรือนภายใน5ปี และ100,000 ครัวเรือนภายใน10ปี เพิ่มรายได้เกษตรกรมีรายได้เป็นเงินสดสุทธิจากการทำเกษตรเพิ่มขึ้นเป็น60,000บาทต่อครัวเรือนภายใน5ปี และ100,000บาทต่อครัวเรือนภายใน10ปี ตั้งเป้าหมายที่จะยกระดับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(เอสเอ็มอี)ให้เป็นสมาร์ทเอสเอ็มอีจำนวน 100,000 สถานประกอบการภายใน5ปี และ500,000รายภายใน 10 ปี

ขณะที่เป้าหมายด้านการยกระดับคุณค่ามนุษย์เช่น การขยับลำดับการประเมินผลนักเรียนในระดับนานาชาติของไทยจากอันดับที่47จาก76ประเทศ เป็น1ใน20ประเทศแรกใน20ปี มหาวิทยาลัยไทยติด100 อันดับแรกของโลกจำนวน5สถาบันภายใน 20 ปี และนักวิทยาศาสตร์ไทยได้รับรางวัลโนเบลอย่างน้อย 1 คนภายใน20ปี

ส่วนเป้าหมายด้านการรักษ์สิ่งแวดล้อมเช่น เป็น 10 เมืองที่น่าอยู่ของโลกภายใน5ปี และมี5เมืองอัจฉริยะอย่างเต็มรูปแบบภายใน 10 ปี มีการบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ โดยพื้นที่ชลประทานเพิ่มขึ้นจาก 30.48 ล้านไร่ในปี2558 เป็น40ล้านไร่ภายใน5ปี และ60ล้านไร่ภายใน10ปี

“สนธิรัตน์”เดินหน้าดันนโยบาย4.0

ด้านนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวภายหลังเข้าทำงานวันแรกว่านโยบายสำคัญที่ได้รับมอบหมายคือการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เดินหน้า ซึ่งรัฐบาลอยากเห็นปี 2560 เป็นปีของการทำงานเป็นรูปธรรมต้องเห็นผลงานชัดเจน ภายหลังช่วง 2 ปีที่ผ่านมาอยู่ในระยะเวลาของการปรับตัว และวางโครงสร้าง ยกตัวอย่างงานที่จะต้องดำเนินการให้เห็นชัดในปีหน้านั้น เช่น เพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันกับต่างประเทศ ตลอดจนส่งเสริมการค้าทั้งภายในและต่างประเทศ

“มั่นใจจะต่อยอดงานของกระทรวงพาณิชย์ได้ พัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการให้สามารถแข่งขันในระดับต่างประเทศและสอดคล้องไปกับนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ของรัฐบาลที่ต้องการพัฒนาขีดความสามารถภายในประเทศให้เข้มแข็งและวางรากฐานเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน”

“พิเชฐ”เร่งแผนพัฒนาศก.ดิจิทัล

นายพิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) กล่าวว่าภารกิจเร่งด่วนหลังรับตำแหน่งคือเร่งขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจดิจิทัล โดยจะทำงานตามแนวทางของแผนแม่บทที่มีอยู่ พร้อมเร่งสร้างความเข้าใจกับประชาชนให้เข้าใจถึงนโยบายและสิ่งที่รัฐบาลทำไป

นายพิเชฐ ยังได้ประชุมร่วมกับผู้บริหารหน่วยงานในสังกัด โดยกล่าวกับที่ประชุมให้ร่วมแรงร่วมใจกันทำงาน

“ผมเป็นรัฐมนตรีที่มาเร็วแต่ไม่คิดว่าจะไปเร็ว และเป็นคนที่ทำงานเร็ว จึงขอให้ช่วยกันทำงานให้เร็ว”

นายพิเชฐ กล่าวว่าสิ่งสำคัญ คือสร้างดิจิทัล ไทยแลนด์ เพื่อนำไปสู่ไทยแลนด์ 4.0จุดเน้นของดิจิทัลไทยแลนด์จะทำโครงสร้างพื้นฐานทั้งในประเทศ และนอกประเทศครอบคลุมโลจิสติกส์ของไปรษณีย์ไทยและเอกชนรวมถึงทำงานกลายเป็นดิจิทัลชุมชนซึ่งต้องร่วมมือกับกระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษา และกระทรวงสาธารณสุข เพื่อความรวดเร็วในเชิงรูปธรรมให้สังคมทั่วโลกได้รู้จักดิจิทัลไทยแลนด์

นายพิเชฐ มั่นใจว่าในปี 2560 กระทรวงดีอี จะดำเนินงานให้เกิดภาพชัดเจนมากขึ้นสะท้อนในมุมมองที่สอดคล้องกับแผนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม