รัฐบาลประเมินปีหน้าลงทุนดันศก.โต3.5-4%

รัฐบาลประเมินปีหน้าลงทุนดันศก.โต3.5-4%

"นายกฯ" มั่นใจเศรษฐกิจปีหน้าโตมากกว่า 3.2% จากโครงการลงทุนรัฐหนุน ด้าน "กอบศักดิ์" ลุ้นโตแตะ 4% เผยรัฐเตรียมลงทุนอีอีซี 2 หมื่นล้าน

การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วานนี้ (20 ธ.ค.) มีการประเมินรายงานของธนาคารโลก (World Bank) ที่ระบุว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัว 3.2% ในปี 2560 แต่รัฐบาลมองว่าน่าจะขยายตัวได้มากกว่าที่ธนาคารโลกประเมินเนื่องจากโครงการลงทุนภาครัฐ

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าหลังจากการปรับ ครม.รัฐบาลให้ความสำคัญในเรื่องเศรษฐกิจและมองว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้น เห็นได้จากมุมมองของธนาคารโลกที่มองว่าในปี 2560 เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ 3.2%

“น่าจะปรับขึ้นได้มากกว่านั้น เพราะเรามีโอกาสในเรื่องการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน การก่อสร้าง ซึ่งหากไม่มีการต่อต้าน นักลงทุนก็จะกล้าเข้ามาลงทุนในประเทศมากขึ้น”

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่านายกรัฐมนตรีได้นำเอกสารของธนาคารโลกมาแจกในที่ประชุมครม. ซึ่งเป็นการประเมินเศรษฐกิจของไทยในปีหน้า โดยเป็นการขยายตัวต่อเนื่องจากในปีนี้ที่มองว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวได้ 3.1%

นายกอบศักดิ์ กล่าวอีกว่า นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ได้ชี้แจงว่าการปรับคาดการณ์เศรษฐกิจไทยของธนาคารโลกถือว่าเป็นการปรับเพิ่มขึ้นจากช่วงต้นปีที่มีการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจของไทยในปี 2559 จะขยายตัวเพียง 2% เท่านั้น แต่จากมาตรการภาครัฐและการทำงานของรัฐบาลทำให้เศรษฐกิจขยายตัวเพิ่มขึ้นโดยคาดว่าในปีนี้เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวใกล้เคียงกับที่หน่วยงานต่างๆคาดการณ์คืออยู่ในกรอบ 3-3.5%

“ถือว่าเป็นตัวเลขที่น่าพอใจในช่วงที่เศรษฐกิจโลกส่วนใหญ่ยังคงมีภาวะซบเซา”

คาดปีหน้าโอกาสโต3.5-4%จากลงทุนภาครัฐ

นายกอบศักดิ์ กล่าวต่อไปว่า มีความเป็นไปได้สูงที่ในปี 2560 เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องโดยอาจจะอยู่ในกรอบ 3.5-4% เนื่องจากจะมีการลงทุนของภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ หลายโครงการ ไม่ว่าจะเป็นโครงการสุวรรณภูมิเฟส 2 รถไฟทางคู่ ทางหลวงและมอเตอร์เวย์ และรถไฟฟ้าที่ได้ผ่านการเห็นชอบจาก ครม.และมีการคัดเลือกผู้รับเหมาแล้ว ซึ่งการเริ่มก่อสร้างจะทำให้เงินทยอยลงสู่ระบบอย่างแท้จริง

ขณะที่ การลงทุนในโครงการเขตพัฒนาเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) จะมีเม็ดเงินลงทุนที่จะเริ่มลงทุนในปี 2559 ไม่ต่ำกว่า 2 หมื่นล้านบาทโดยในส่วนนี้เป็นงบประมาณของภาครัฐ ทั้งนี้ต้องมีการจัดลำดับโครงการที่มีการจัดลำดับความสำคัญว่าจะต้องมีการสร้างและพัฒนาให้แล้วเสร็จในระยะแรกของการลงทุนในโครงการอีอีซี เช่น โครงการพัฒนาท่าเรือจุกเสม็ด โครงการพัฒนาทางขึ้นลงเครื่องบินบริเวณสนามบินอู่ตะเภา โครงการก่อสร้างมอเตอร์เวย์สายพัทยา-ระยอง โครงการรถไฟทางคู่ และรถไฟความเร็วสูง

“เรื่องนี้รองนายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปศึกษาแผนการลงทุนและจัดลำดับความสำคัญ ขณะเดียวกันต้องมีการเตรียมความพร้อมในเรื่องงบประมาณ โดยหลายโครงการจะมีการใช้การลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (พีพีพี) เป็นเครื่องมือในการระดมทุน”

คาดปีหน้าค่าเงินผันผวนกระทบส่งออก

นายกอบศักดิ์ กล่าวว่า การส่งออกในปีหน้ามองว่าจะขยายตัวได้ไม่ดีนักเนื่องจากเศรษฐกิจของโลกยกเว้นสหรัฐฯยังไม่ฟื้นตัว ขณะที่ค่าเงินและอัตราแลกเปลี่ยนยังมีความผันผวนซึ่งจะกระทบกับการส่งออกพอสมควร

“ปีหน้าทีมเศรษฐกิจมองว่าการขับเคลื่อนเศรษฐกิจจะไปได้ดี และน่าจะขยายตัวได้มากกว่าปีนี้ เพราะโครงการต่างๆที่จะมีการลงทุนมีการเตรียมความพร้อมแล้วในปีนี้ ปีหน้าสามารถลงทุนได้ทันที โดยในส่วนของโครงการลงทุนในอีอีซี รองนายกรัฐมนตรีได้ย้ำว่าให้มีการจัดลำดับโครงการที่จะมีการลงทุนในพื้นที่โดยเฉพาะในช่วง 2 -3 ปีแรกต้องมีการวางโครงสร้างพื้นฐานที่จะยกระดับการพัฒนาพื้นที่ในระยะยาวได้” นายกอบศักดิ์ กล่าว

เป้าหมายเงินเฟ้อปีหน้า1-4%

นอกจากนี้ ที่ประชุม ครม.ยังมีมติรับทราบเป้าหมายของนโยบายการเงิน ประจำปี 2560 ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยกรอบเป้าหมายนโยบายการเงินปี 2560 กำหนดอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยทั้งปีเฉลี่ยทั้งปีที่ 2.5 +/- 1.5% โดยเป็นกรอบเป้าหมายนโยบายทางการเงินที่สอดคล้องกับเป้าหมายนโยบายการเงินระยะปานกลางของประเทศ

ทั้งนี้เป้าหมายนโยบายการเงินในปี 2560 ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้มีการหารือร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและได้เห็นชอบร่วมกันในการกำหนดเป้าหมายทางการเงิน โดยคำนึงถึงสภาวะเศรษฐกิจและข้อมูลเศรษฐกิจ ซึ่งได้ข้อสรุปว่าสามารถใช้กรอบเป้าหมายทางการเงินเดิมในระยะกลางของประเทศ เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อในระดับดังกล่าวเอื้อต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงิน รวมทั้งช่วยรักษาความสามารถในการแข่งขันของประเทศ

อย่างไรก็ตาม กนง.จะได้ติดตามการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยที่ยังมีความไม่แน่นอนสูงอย่างใกล้ชิดเพื่อใช้ประกอบการกำหนดเป้าหมายนโยบายการเงินในระยะต่อไปให้สอดคล้องกับบริบทของโครงสร้างเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป

"กนง.ได้ประเมินด้วยว่าอัตราเงินเฟ้อในทั่วไปในปี 2560 จะปรับสูงขึ้นจากปี 2559 และจะอยู่ภายในกรอบเป้าหมาย คือบวกลบไม่เกิน 2.5 +/- 1.5% หมายถึง 1-4 เงินเฟ้อไม่มีทางขึ้นไปเกิน 4% เพราะขณะนี้อยู่ที่ประมาณ 0.5% ต่ำกว่าเป้าหมาย แต่เมื่อในปีหน้าเศรษฐกิจขยายตัวมากขึ้น ราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้น เงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้นจนอยู่ในกรอบเป้าหมาย” นายกอบศักดิ์ กล่าว

หอการค้าคาดปีหน้าโต3.5-4.0%

ด้านหอการค้าไทยประเมินทิศทางเศรษฐกิจในปีหน้า โดยนายวิชัย อัศรัสกร รองประธานกรรมการหอการค้าไทย เปิดเผยว่า สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจในช่วงปี 2560 หอการค้าประเมินว่าจะมีการเติบโตอยู่ที่ 3.5-4.0%

ทั้งนี้ มีปัจจัยสนับสนุนจากนโยบายภาครัฐที่จะปฏิรูปเศรษฐกิจภายในประเทศให้มีความเข้มแข็งและยั่งยืน (โลคัล อีโคโนมี) ด้วยการจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมให้ 18 กลุ่มจังหวัด จำนวน 1 แสนล้านบาทสร้างโอกาสให้ท้องถิ่นสามารถพัฒนาศักยภาพ และสร้างรายได้อย่างยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็นคลัสเตอร์ธุรกิจด้านการเกษตร คลัสเตอร์การค้าการลงทุนชายแดน คลัสเตอร์การท่องเที่ยว และคลัสเตอร์โลจิสติกส์

อย่างไรก็ดี จากการดำเนินนโยบายมาในขณะนี้พบว่าภาคประชารัฐ 18 กลุ่มจังหวัดเสนอโครงการที่จะพัฒนาแต่ละท้องถิ่นเข้ามาเพื่อขอใช้งบประมาณดังกล่าวแล้วกว่า 1,000 โครงการ งบประมาณลงทุนราว 8.3 หมื่นล้านบาท ซึ่งขั้นตอนดำเนินงานขณะนี้คณะกรรมการประชารัฐจะเป็นผู้พิจารณาโครงการที่มีศักยภาพในการต่อยอดสร้างรายได้ให้แล้วเสร็จภายในปีนี้ ก่อนจะเสนอโครงการที่ผ่านคัดเลือกไปยังคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาภายในเดือน ม.ค.2560 จากนั้นจะเข้าสู่การพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ในเดือน ก.พ.2560 และเร่งรัดไปยังกระบวนการเบิกจ่ายงบประมาณเริ่มต้นในช่วงเดือน มี.ค.ปีหน้า

“ภาพรวมเศรษฐกิจไทยปีนี้มีการฟื้นตัวอย่างช้าๆ โดยคาดจะขยายตัวอยู่ที่ 3.3-3.5%ในส่วนของภาคการส่งออกคาดว่าจะขยายตัวอยู่ในกรอบลบ 1-0% ขณะที่ปีหน้าหอการค้าประเมินว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวเล็กน้อยจากปีนี้อยู่ในกรอบ 3.5-4.0% ส่วนการส่งออกในปีหน้าก็อาจจะขยายตัวในกรอบ 0-2% ซึ่งมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากมาตรการสนับสนุนความเข้มแข็งของเศรษฐกิจภายในประเทศ”