'กรุงศรี'ประกาศขอคืนมาร์เก็ตแชร์สินเชื่อรายย่อย

'กรุงศรี'ประกาศขอคืนมาร์เก็ตแชร์สินเชื่อรายย่อย

กรุงศรีประกาศรุกรายย่อยอีกครั้ง หลังปรับระบบภายในพร้อมบุกตลาด หวังเรียกคืนมาร์เก็ตแชร์ทั้งบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคลเพิ่มอีก 2%

  
ตั้งเป้าสินเชื่อบุคคลโต 11% บัตรเครดิตโต 15%  รับปีนี้ยังต่ำกว่าเป้าหมาย

นายฐากร ปิยะพันธ์ ประธานคณะเจ้าหน้าที่ ด้านกรุงศรีคอนซูมเมอร์ และผู้บริหารสายงานดิจิตอล แบงกิ้งและนวัตกรรม ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)  เปิดเผยว่า ในปีหน้า ธนาคารจะกลับมารุกตลาดสินเชื่อรายย่อยอีกครั้ง เพื่อเร่งส่วนแบ่งตลาดให้เพิ่มขึ้น หลังจากที่ตั้งใจชะลอการปล่อยสินเชื่อไปในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา แต่ในแง่ของบัตรยังคงเติบโต   เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาธนาคารได้ปรับรูปแบบการทำธุรกิจและคุยกับพันธมิตรใหม่ที่จะหนุนให้การเติบโตเร่งตัวขึ้นได้ โดยในเบื้องต้นตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มยอดการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตในปีหน้าให้เติบโตที่ระดับ 15%  ขณะที่ยอดสินเชื่อสินเชื่อบุคคลปล่อยใหม่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 11% 

ทั้งนี้ธนาคารอยากให้ส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นอีก 2% ทั้งสินเชื่อบุคคลและบัตรเครดิต  โดย ณ สิ้นเดือน ก.ย. 2559  ธนาคารมีส่วนแบ่งตลาดสินเชื่อบุคคลหากพิจารณาในแง่ของยอดคงค้างอยู่ที่ 22% ธนาคารต้องการเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 24%  ขณะที่ยอดคงค้างบัตรเครดิตของธนาคารมีส่วนแบ่งทางการตลาดคิดเป็น 18.5% ธนาคารต้องการเพิ่มขึ้นมากกว่า 20%  

     ส่วนปีนี้ธนาคารตั้งเป้าหมายเพิ่มยอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตให้เติบโต 11% แต่คาดว่าจะขยายได้จริง 8-9% ส่วนสินเชื่อบุคคลในปีนี้เติบโตได้ดีกว่าคาด หรืออยู่ที่ 6-7% จากเป้าหมายที่ตั้งไว้ 5%

เขากล่าวว่า ในปีหน้าธนาคารจะนำเทคโนโลยีมาใช้ในการทำการตลาดให้ตรงความต้องการลูกค้ามากขึ้น ช่วยให้ลูกค้าใช้บัตรมากขึ้นรวมถึงลูกค้าที่ใช้น้อย ก็จะหันมาใช้มากขึ้นและที่ผ่านมาเราได้ทีมงานญี่ปุ่นเข้ามาสนับสนุนบัตรคอร์ปอเรทการ์ด จากฐานลูกค้าบริษัทญี่ปุ่นกว่าร้อยบริษัท  รวมถึงดีลเลอร์รถที่เป็นพันธมิตรของกรุงศรีออโต้   ที่เราหาซินเนอจี้กับเพื่อนบ้าน   หรือขยายให้ลูกค้าในเครือ รวมถึงการขยายไปซีแอลเอ็มวี 

 นอกจากนี้ในปีหน้าธนาคารจะรุกออกแคมเปญมากขึ้น โดยเพิ่มงบประมาณด้านโฆษณาและโปรโมชั่น โดยเฉพาะบัตรเครดิตกรุงศรี และปีหน้าจะลงทุนในบัตรเซ็นทรัล เฟิร์สช้อย ทุกประเภท

ทั้งนี้ ณ สิ้นเดือน มิ.ย. 2559 ธนาคารมียอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตที่ 1.35 แสนล้านบาท