Daily Market Outlook (14 ธ.ค.59)

Daily Market Outlook (14 ธ.ค.59)

ปัจจัยบวกทั้งนอกและในประเทศ

คาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นตามตลาดหุ้นสหรัฐที่เดินหน้าทำจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ใหม่ นักลงทุนสหรัฐยังคงเข้าซื้ออย่างต่อเนื่องหลังการเลือกตั้งสหรัฐหนุนโดยความคาดหวังต่อนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของ Trump นักลงทุนมองผ่านการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ในวันนี้-พรุ่งนี้ไปแล้วแต่ยังไม่ค่อยแน่ใจเกี่ยวกับแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยนับจากนี้ไป อย่างไรก็ตาม Fed อาจจะยังไม่ได้กำหนดแน่ชัดเกี่ยวกับแนวโน้มและนโยบายด้วยความจำเป็นที่ต้องรู้ก่อนว่า Trump จะดำเนินนโยบายการคลังขยายตัวตามที่หาเสียงไว้อย่างไร วันนี้ปัจจัยภายในประเทศส่วนใหญ่เป็นบวก รัฐบาลกำหนดแผนปฏิบัติการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมจำนวน 8.96 แสนล้านบาท ซึ่งหมายความว่าโครงการเหล่านี้เริ่มได้ทุกเมื่อแล้ว ครม.ผ่านมติมาตรการให้หักภาษีจากการช้อปปิ้งในระหว่างวันที่ 14-31 ธ.ค. 59 ด้วย

หุ้นเด่นวันนี้: QH (ราคาปิด 2.60 บาท; NR; ราคาเป้าหมาย IAA consensus ที่ 3.35 บาท)

QH เป็นหุ้นที่เลือกให้ลงทุนวันนี้ จากมูลค่าสินทรัพย์สุทธิที่แข็งแกร่ง ราคาหุ้นต่ำกว่าพื้นฐาน ผลตอบแทนจากเงินปันผลสูง และภาพเทคนิคแข็งแรงโดย QH มีเงินลงทุนในหลักทรัพย์รวม34.8 พันล้านบาท (3.25 บาทต่อหุ้น) จากการถือหุ้นใน HMPRO (19.9%) LHBANK (21.3%) QHHR (31.3%) และ QHPF (25.7%) นอกจากนี้เรายังคาดว่า HMPRO จะได้รับประโยชน์โดยตรงจากรัฐบาลจากการใช้จ่ายในสินค้าและบริการวงเงินไม่เกิน 15,000 บาท ในช่วง 14-31 ธันวาคม 2559 ในขณะที่ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของ QH มีมูลค่า37.9 พันล้านบาทหักกับภาระหนี้สุทธิ 23.5 พันล้านบาท ทำให้มูลค่าสินทรัพย์สุทธิ(NAV) ของ QH อยู่ที่ประมาณ 49.2 พันล้านบาทหรือ 4.60 บาทต่อหุ้น QH รายงานกำไรสุทธิ9M59 ที่ 2.5 พันล้านบาทเพิ่มขึ้น 33% YoY โดย48% มาจากการปันส่วนกำไรจากบริษัทย่อย อย่างไรก็ตาม IAA consensus คาดว่ากำไรสุทธิ 4Q59 อยู่ที่ 800 ล้านบาทลดลง 38% YoYแต่เพิ่มขึ้น 6% QoQนี้เป็นเพราะ 4Q58 มียอดขายที่แข็งแกร่งเป็นพิเศษจากมาตรการของรัฐบาลในการลดหย่อนค่าธรรมเนียมการโอนที่สิ้นสุดไปเมื่อ2Q59 ขณะที่ยอดขายและกำไรใน4Q59 ลดลง YoYจากช่วงเวลาการไว้ทุกข์ของประเทศIAA consensus คาดว่าEPS เติบโต 3% ในปี 2559 และเติบโต10% ในปี 2560 ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายที่ PER เพียง 8.7x และมีส่วนลดมากถึง43% จากค่าNAV อัตราเงินปันผลตอบแทนปี 2559 สูงถึง5.2% เราคาดหวังผลประกอบการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะดีขึ้นใน 1Q60 เมื่อผู้ประกอบการสามารถทำการส่งเสริมการขายเต็มรูปแบบได้ หลังจากที่งดไปในช่วง 4Q59 ภาพเทคนิค ราคาหุ้น QH มีความแข็งแกร่งอย่างมากในแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) จากการเกิดทั้ง Daily, Weekly, & Monthly Buy Signal โดยมีเป้าหมายเบื้องต้นอยู่ที่ 2.78 บาท จุด Stop Loss ระยะสั้นอยู่ที่ 2.48 บาท(Resistance: 2.62, 2.64, 2.66; Support: 2.58, 2.56, 2.54)

ปัจจัยสำคัญ

ประเด็นในประเทศ:

• แผนโครงสร้างพื้นฐานได้รับการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี: คณะรัฐมนตรีเมื่อวานนี้ได้อนุมัติแผนปฏิบัติการของกระทรวงคมนาคมที่ครอบคลุม 36 โครงการโครงสร้างพื้นฐานมูลค่า 8.96 แสนล้านบาท โครงการจะพร้อมสำหรับการลงทุนในปี 2560 รวมถึงสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย (บางแค-พุทธมณฑลสาย 4) สายสีเขียวช่วงสมุทรปราการ-บางปูและคูคต-ลำลูกกาสายสีส้ม(ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย-ตลิ่งชัน) คาดว่าจะเริ่มทำในปีหน้าด้วย การพัฒนาระบบรางคิดเป็น73.3% ทางด่วนและมอเตอร์เวย์คิดเป็น18.7% และการขนส่งทางทะเลและการขยายสนามบินสุวรรณภูมิส่วนที่เหลือของงบลงทุน (Bangkok Post) ความเห็น: การอนุมัติของ ครม. ส่งผลบวกทางจิตวิทยาต่อกลุ่มวัสดุก่อสร้างในส่วน ซีเมนต์ เหล็ก ยางมะตอย ท่อประปาท่อน้ำเสีย รวมถึงผู้รับเหมารายใหญ่จะได้รับประโยชน์จากโครงการภาครัฐขนาดใหญ่ ในขณะที่เรามองว่าเมื่อมีการเซ็นต์สัญญาก่อสร้างจะทำให้เกิดผลบวกแท้จริงกับบริษัทจดทะเบียน

• ครม. อนุมัติมาตรการช้อปช่วยชาติ ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติมาตรการช้อปช่วยชาติตามที่กระทรวงการคลังได้เสนอมา โดยให้ยกเว้นภาษีให้ผู้ที่สำหรับการซื้อสินค้าและค่าบริการในช่วงวันที่ 14-31 ธ.ค. 59 ตามจำนวนจ่ายจริงแต่ไม่เกิน 15,000 บาท อย่างไรก็ตามจะไม่รวมค่า สุรา เบียร์ ไวน์ รถยนต์ รถจักรยานยนต์ เรือ น้ำมัน ก๊าซ และไม่รวมค่าบริการที่จ่ายให้ผู้ประกอบการเป็นค่านำเที่ยว มัคคุเทศน์ ค่าที่พัก โรงแรม (Bangkok Post) ความเห็น: มาตรการดังกล่าวคาดจะช่วยเพิ่มการขยายตัวของ GDP ของประเทศปีนี้ได้ราว 0.2% ซึ่งหุ้นที่จะได้รับประโยชน์ได้แก่ CPN (57.25 บ.) ROBINS (66.00 บ.) COM7 (14.50 บ.) HMPRO (10.20 บ.) GLOBAL (17.60 บ.)

• ธกส. ขอขยายเวลาโครงการจ่ายเงินผู้มีรายได้น้อย ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) เรียกร้องให้กระทรวงการคลังขยายเวลาโครงการการจ่ายเงินให้แก่ผู้มีรายได้น้อยที่เข้าร่วมโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐออกเป็นเป็นถึงเดือนม.ค. ปีหน้า จากกำหนดกรอบเวลาเดิมที่สิ้นปีนี้ เนื่องจากต้องใช้ระยะเวลาที่จะให้ผู้ที่มีสิทธิ์ทั้งหมดทยอยเปิดบัญชีและรับเงิน ทั้งนี้การขยายกรอบเวลาดังกล่าวจะต้องได้รับอนุมัติจากครม. (Bangkok Post)

• พิจารณาจัดตั้งตลาดศูนย์กลางซื้อขายข้าวสารนางอภิรดี ตันตราภรณ์ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่ารัฐบาลกำลังพิจารณาการจัดตั้งตลาดศูยน์กลางการซื้อขายข้าวสารเพื่อเป็นอีกช่องทางหนึ่งในการจัดจำหน่ายข้าวที่จะให้ผู้ส่งออก โรงสี และชาวนาสามารถเข้าถึงผู้ซื้อได้โดยตรง และเพื่อผลักดันให้เกิดความโปร่งใสในการซื้อขายมากขึ้น ทั้งนี้กระทรวงพาณิชย์เตรียมที่จะเรียกประชุมหารือร่วมกับผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายรวมไปถึงเจ้าหน้าที่หน่วยงานภาครัฐเพื่อหาแนวทางความเป็นไปได้ต่างๆ อาทิ รูปแบบการลงทุน โครงสร้างการบริหารจัดการ ทำเลที่ตั้งที่เหมาะสม ระบบโลจิสติกส์ และระบบการชำระเงิน (Bangkok Post)

ต่างประเทศ:

• อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐระยะสั้นปรับตัวสู่ระดับสูงสุดในรอบปีเมื่อวันอังคาร โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 2 ปีแตะระดับสูงสุดในรอบ 6 ปีก่อนการประชุม FOMC ในวันพุธที่คาดว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระยะ 1 วัน (overnight) ราคาพันธบัตรอายุ 10 ปีลดลง 1/32 ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรดังกล่าวเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 2.482% โดยเมื่อวันจันทร์อัตราผลตอบแทนอยู่ที่ระดับ 2.528% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับแต่วันที่ 29 ก.ย. 57 (Reuters)

• ดอลลาร์สหรัฐทรงตัวเทียบกับสกุลเงินหลักเมื่อวันอังคาร เนื่องจากมีความไม่แน่นอนว่าเฟดจะส่งสัญญาณทิศทางการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างช้า ๆ หรืออย่างรวดเร็วเมื่อสิ้นสุดการประชุมนโยบายหรือไม่ ดัชนีค่าเงินดอลลาร์ล่าสุดปิดเพิ่มขึ้น 0.04% ที่ระดับ 101.070 ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น 0.15% เทียบกับเงินเยนที่ระดับ 115.19 เยน หลังแตะระดับสูงสุดในรอบ 10 เดือนอยู่ที่ 116.12 เยนเมื่อวันจันทร์ (Reuters)

สหรัฐ:

• ดัชนีตลาดหุ้นวอลสตรีทปิดพุ่งขึ้นเมื่อวันอังคาร โดยดัชนีหลักทั้ง 3 ดัชนีปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์อีกครั้งหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐโดยไม่มีสัญญาณอ่อนแรงเนื่องจากได้รับปัจจัยหนุนจากคำสัญญาของทรัมป์ที่จะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ในขณะที่อีกไม่ถึง 100 จุดดัชนีดาวโจนส์ก็จะอยู่ที่ระดับ 20,000 จุดและดัชนีดังกล่าวปรับตัวขึ้นประมาณ 9% นับตั้งแต่การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐเมื่อวันที่ 8 พ.ย. ที่ผ่านมา (Reuters)

• หุ้นเริ่มมีราคาแพง จากการที่ตลาดหุ้นสหรัฐทะยานขึ้นในระยะนี้ นักลงทุนบางรายเป็นกังวลเกี่ยวกับการประเมินมูลค่าหุ้นในตลาด ดัชนี S&P เทรดใกล้ค่า P/E ล่วงหน้า 12 เดือนที่ 17.7 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปีที่ 14.7 เท่า จากข้อมูลของ StarMine ในขณะนี้มีการประเมินมูลค่าหุ้นสูงกว่าความเป็นจริงและแนวโน้มว่าหุ้นจะปรับตัวขึ้นต่อเนื่องอาจไม่แน่นอนนอกเสียจากว่ากำไรสุทธิยังเติบโตต่อ (Reuters)

ยุโรป:

• ตลาดหุ้นยุโรปเมื่อวันอังคารปรับตัวสูงขึ้นหนุนโดยหุ้นกลุ่มธนาคารอิตาลีซึ่ง Sentiment ฟื้นตัวดีขึ้นต่อเนื่องหลังนาย Paolo Gentiloni นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของอิตาลีกล่าวว่ารัฐบาลของเขาพร้อมที่จะแก้ปัญหาและให้สนับสนุนแก่ธนาคารอิตาลีที่มีปัญหาอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งส่งผลให้ราคาหุ้นธนาคาร UniCreditที่ใหญ่ที่สุดในอิตาลีปรับตัวสูงขึ้นโดดเด่น ขณะที่ข่าวการถูกซื้อกิจการของหุ้น Mediasetส่งผมให้ราคาหุ้นพุ่งสูงขึ้นนำตลาด (Reuters)

เอเชีย:

• ความเชื่อมั่นผู้ผลิตขนาดใหญ่ของญี่ปุ่นปรับตัวดีขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 6 ไตรมาสใน 4Q59เป็นระดับสูงสุดในรอบหนึ่งปี BOJ’s Tankan รายงาน ในขณะที่หุ้นปรับตัวขึ้นและค่าเงินเยนตกลง ทำให้แนวโน้มเศรษฐกิจญี่ปุ่นสดใส ดัชนีเพิ่มขึ้นถึง +10 จาก +6 ใน 2Q59 ที่ตรงกับที่ตลาดคาดการณ์ เป็นระดับสูงสุดตั้งแต่ธ.ค. 2558 ตอกย้ำความคาดหวังของตลาดว่า BOJ จะคงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในเดือนต่อไป(Reuters)

• รัสเซียต้องการเพิ่มความสัมพันธ์ทวิภาคีกับประเทศญี่ปุ่นในทุกด้านและหวังที่จะไปให้ถึงสนธิสัญญาสันติภาพกับเพื่อนบ้านทางตะวันออกของตนอย่างเป็นทางการทางการรัสเซียกล่าวอย่างเป็นทางการก่อนที่ประธานาธิบดีรัสเซียวลาดิมีร์ปูติน จะไปเยือนญี่ปุ่นในสัปดาห์นี้ ดินแดนพิพาทระหว่างโตเกียวและมอสโก ในหมู่เกาะแปซิฟิกตะวันตกที่ถูกยึดโดยกองทัพโซเวียตในตอนท้ายของสงครามโลกครั้งที่สอง เป็นสิ่งที่ทำให้เสียความสัมพันธ์ทางการทูตนับแต่นั้นมา (Reuters)

• ประเทศจีนจะลงโทษบริษัทประกอบรถยนต์สหรัฐที่ไม่มีชื่อสำหรับพฤติกรรมผูกขาดหนังสือพิมพ์ไชน่าเดลี่รายงานอย่างเป็นทางการเมื่อวันพุธที่ผ่านมาว่า ตรวจพบบริษัทสหรัฐที่เป็นผู้จัดจำหน่ายที่เริ่มตรึงราคาตั้งแต่ปี 2557 ในช่วงเวลาที่สำคัญหลังจากประธานาธิบดีสหรัฐฯ Donald Trump ที่มีคำถามว่าจะมีในเรื่องนโยบายยอมรับว่าไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของ "หนึ่งในประเทศจีน" หรือไม่ ปักกิ่งยืนยันว่าตนเองปกครองไต้หวันเป็นเหมือนจังหวัดหนึ่งของจีนและยังไม่เคยละทิ้งการใช้กำลังที่จะเอามันกลับมา(Reuters)

• จีนจะมีการประกาศกฎระเบียบใหม่เพื่อกระชับการควบคุมบริษัทประกันภัยเร็ว ๆ นี้ ในเรื่องกิจกรรมการลงทุนในตลาดหุ้นท่ามกลางการปราบปรามการกำกับดูแลที่ทวีความรุนแรงในการจัดกิจกรรมที่มีความเสี่ยงในภาคประกันภัยโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีส่วนร่วมในการเก็งกำไรในตลาดการเงินโดยใช้เงินทุนระยะสั้นที่มีราคาแพง(Reuters)

สินค้าโภคภัณฑ์:

• ราคาน้ำมันชดเชยการปรับตัวขึ้นก่อนหน้า ทำให้ราคาปิดแทบไม่เปลี่ยนแปลง เนื่องจากแผนที่ OPEC จะลดการผลิตถูกหักล้างจากการที่เจ้าหน้าที่พลังงานประเมินว่าแต่ละประเทศปัจจุบันผลิตอยู่ที่จำนวนเท่าไหร่ น้ำมันดิบสหรัฐล่วงหน้าแตะระดับสูงถึง 53.41 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลและปิดที่ราคา 52.98 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้น 15 เซนต์จากวันก่อนหน้า ขณะที่ราคาน้ำมันดิบเบรนท์เพิ่มขึ้น 3 เซนต์ ปิดที่ 55.72 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล (Reuters)

• IEA เผย OPEC ผลิตน้ำมันดิบมากกว่าที่ประเมินไว้ในเดือนพ.ย. สำนักงานพลังงานสากล (IEA) เปิดเผยว่า การผลิตน้ำมันดิบของกลุ่ม OPEC ในเดือนพ.ย.อยู่ที่ระดับ 34.2 ล้านบาร์เรล/วัน ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และสูงกว่าที่ OPEC เองคาดการณ์ไว้ 500,000 บาร์เรล อย่างไรก็ตาม IEA ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์อุปสงค์น้ำมันในปีนี้ สู่ระดับ 1.4 ล้านบาร์เรล/วัน โดยเพิ่มขึ้น 120,000 บาร์เรล/วันจากตัวเลขคาดการณ์ก่อนหน้านี้จากการปรับขึ้นอุปสงค์น้ำมันของรัสเซียและจีน (Reuters)

• ราคาทองร่วงในวันอังคาร เนื่องจาก Fed ได้เริ่มต้นการประชุมแล้ว และตลาดได้คาดการณ์ว่าดอกเบี้ยจะถูกปรับขึ้นเป็นครั้งที่สองในรอบทศวรรษ ราคาทองคำตลาดจรลดลง 0.6% อยู่ที่ 1,155.65 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ใกล้เคียงกับจุดต่ำสุดในรอบ 10 เดือนที่ 1,151.34 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ในขณะที่ทองสหรัฐล่วงหน้าลดลง 0.6% อยู่ที่ 1,159 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ (Reuters)