เด็กไทยกินนมแม่ต่ำสุดในอาเซียน หนุนออก'พรบ.โค้ดมิลค์'

เด็กไทยกินนมแม่ต่ำสุดในอาเซียน หนุนออก'พรบ.โค้ดมิลค์'

องค์การอนามัยโลกเผยเด็กไทยได้กินนมแม่ต่ำสุดในอาเซียน หนุนไทยออก “พรบ.โค้ดมิลค์” คุมโฆษณา-การตลาดนมผง

เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม ที่กระทรวงสาธารณสุข ดร.เรณู การ์ก หัวหน้าฝ่ายโรคไม่ติดต่อ องค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทย กล่าวว่า อัตราการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ในประเทศไทยยังต่ำมาก โดยประเทศไทยมีเด็กที่ได้กินนมแม่เพียงอย่างเดียวจนถึงอายุ 6 เดือน ไม่ถึงร้อยละ 12.3 ขณะที่องค์การอนามัยโลกหรือฮูแนะนำว่าควรอยู่ในอัตราร้อยละ 50 % ซึ่งประเทศไทยถือว่ามีอัตราต่ำที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันเฉียงใต้หรืออาเซียน ดังนั้น การที่ประเทศกำลังพิจารณาร่างพรบ.ควบคุมการส่งเสริมการตลาดอาหารทารกและเด็กเล็ก พ.ศ....จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการเพิ่มอัตราการกินนมแม่ และปกป้องสุขภาพของแม่และเด็ก เนื่องจากร่างพรบ.นี้จะส่งเสริมการกินนมแม่ และควบคุมการโฆษณาและส่งเสริมการตลาดอาหารทดแทนนมแม่ ซึ่งสอดคล้องกับหลักเกณฑ์สากลว่าด้วยการตลาดอาหารและทดแทนนมแม่ และแนวทางต่างๆขององค์การอนามัยโลก

นพ.ธงชัย เลิศวิไลรัตนพงศ์ รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า ขณะนี้ร่างพรบ.ควบคุมการส่งเสริมการตลาดอาหารทารกและเด็กเล็ก พ.ศ.... หรือพรบ.โค้ดมิลค์อยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) การที่ร่างพรบ.นี้จะควบคุมการโฆษณาและการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็กครอบคลุมถึงผลิตภัณฑ์อาหารสำหรับเด็กอายุ 0- 3 ปีนั้น เนื่องจากปัจจุบันการห้ามโฆษณานมผงตามพรบ.อาหาร พ.ศ.2522 มีการควบคุมไม่ให้มีการโฆษณานมผงที่ใช้สำหรับเด็กที่มีอายุ 0- 3 ปีอยู่แล้ว เป็นนมสูตร 1 และสูตร 2 แต่ยังพบว่ามีการโฆษณาแบบข้ามผลิตภัณฑ์อยู่ หากจะออกกฎหมายใหม่แล้วลดการควบคุมลงคงไม่เหมาะสม นอกจากนี้ ในการประชุมสมัชชาใหญ่องค์การอนามัยโลกเมื่อเดือนมิถุนายน 2559 แนะนำให้ควบคุมการส่งเสริมการตลาดของอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็ก ครอบคลุมอาหารสำหรับเด็กถึงเด็กอายุ 3 ปี

“ในร่างพรบ.นี้จึงต้องยืนช่วงอายุเด็กเล็กไว้ที่ 3 ปี ไม่สามารถลดเหลือ 1ปี ตามที่ผู้ประกอบการนมผงมีข้อเสนอ รวมทั้ง กรณีนมทางการแพทย์ ซึ่งในร่างพรบ.นี้ห้ามไม่ให้มีการโฆษณาและส่งเสริมการตลาดเช่นกัน เพราะนมทางการแพทย์เป็นสิ่งที่ต้องใช้ภายใต้การแนะนำและสั่งจ่ายโดยแพทย์ การห้ามโฆษณาก็เป็นสิ่งที่เหมาะสม แต่ร่างพรบ.ฉบับนี้มีข้อยกเว้น กรณีที่เด็กจำเป็นต้องได้รับนมทางการแพทย์ ก็ยังสามารถขอรับบริจาคหรือการสนับสนุนได้เหมือนเดิม”นพ.ธงชัยกล่าว