Daily Market Outlook (7 ธ.ค.59)

Daily Market Outlook (7 ธ.ค.59)

ความไม่แน่นอนทางการเมืองในยุโรปเป็นบวกต่อตลาดเกิดใหม่

คาดหุ้นไทยขยับขึ้นวันนี้ตามตลาดหุ้นสหรัฐ จากมุมมองเศรษฐกิจโลกว่าจะดีขึ้นจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของ Trump และแนวโน้มที่บริษัทสหรัฐจะกลับมาอยู่ในช่วงเวลาที่กำไรเจริญเติบโต แม้ว่าการที่ Fed จะขึ้นดอกเบี้ยในสัปดาห์หน้า และปีหน้า แต่การที่นายกรัฐมนตรีอิตาลีพ่ายแพ้การลงประชามติซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่บ่งชี้ว่ายุโรปกำลังจะเผชิญความไม่แน่นอนทางการเมืองครั้งใหญ่ในปีหน้าที่มีหลายประเทศมีการเลือกตั้งซึ่งประเด็นดังกล่าวนี้ถือว่าเป็นบวกต่อตลาดเกิดใหม่ในฐานะแหล่งรับการลงทุนภายในประเทศ รัฐบาลยังดำเนินความพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างไม่หยุดยั้ง วันนี้ ครม. น่าจะอนุมัติการจัดสรรงบกลางปีเพื่อเร่งโครงการลงทุนใน 18 กลุ่มหลัก ด้วยงบรวมกว่า 1 แสนล้านบาท

หุ้นเด่นวันนี้: EPG (ราคาปิด 12.90 บาท; ซื้อ; ราคาเป้าหมาย AWS 16.00 บาท)

เราเลือกบมจ. อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป เป็นหุ้นเด่นในวันนี้จากผลบวกของการแข็งค่าของดอลลาร์ฯ เทียบเงินบาทในปัจจุบันที่มีต่อตลาดส่งออกต่างประเทศของบริษัทฯ ขณะที่มองราคาน้ำมันดิบโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นในปัจจุบันเป็นพียงระยะสั้นและจะไม่กระทบกับความสามารถในการทำกำไรอย่างที่ตลาดกังวลมากนัก แนวโน้มการเติบโตทางธุรกิจของ EPG คาดว่าจะยังคงดำเนินต่อเนื่องได้จากปีที่แล้วจากการขยายธุรกิจในเชิงรุกทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งสิทธิบัตรที่มีอยู่ในมือบวกกับนวัตกรรมจากการลงทุนในการวิจัยและพัฒนาของตัวเองจะช่วยสร้างความแตกต่างให้กับผลิตภัณฑ์ของ EPG เหนือคู่แข่ง รวมไปถึงการขยายกำลังการผลิตเพื่อรองรับกับคำสั่งซื้อที่เพิ่มมากขึ้น สถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งของบริษัทด้วยอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนต่ำเพียง 0.19 เท่า จะช่วยสนับสนุนการเติบโตและแนวโน้มที่สดใสดังกล่าว รวมไปถึงการเจรจาดีล M&A ที่มีความเป็นไปได้ในอนาคต EPG ได้รายงานกำไรปกติช่วง 6 เดือนแรกปีนี้ (เม.ย. 59 – ก.ย. 59) ปรับตัวสูงขึ้นอย่างน่าพอใจ 18% YoY เราประมาณการการเติบโตของกำไรปกติทั้งปีปีนี้ว่าจะอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งที่ 21% YoYและต่อเนื่องในปีหน้าที่ 20% YoY เราเชื่อว่าราคาหุ้นในปัจจุบันยังคงน่าสนใจ โดยซื้อขายที่ PER ของปีนี้และปีหน้าที่ประมาณ 22.9 เท่า และ 19.1 เท่าตามลำดับ ซึ่งสูงกว่า PER ของกลุ่มวัสดุก่อสร้างอยู่ไม่มากที่ 17 เท่า แต่บริษัทสามารถสร้าง ROE ที่เหนือกว่าและมีการเติบโตของกำไรสุทธิที่โดดเด่นกว่าภายใต้ความเสี่ยงที่ต่ำจากสิทธิบัตรที่มีอยู่ในมือ นอกจากนี้ ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายต่ำกว่าค่าเฉลี่ย PER ย้อนหลังในอดีตในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาที่ 28 เท่า

ปัจจัยสำคัญ

ประเด็นในประเทศ:

• ดัชนีความเชื่อมั่นเป็นกลาง ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ลงทุนของสภาตลาดทุนไทยสำหรับ 3 เดือนข้างหน้า ณ ธ.ค. ลดลงสู่ 95.69 หรือลบ 8.5% จาก 104.6 ในเดือน พ.ย. แต่ก็ยังถือว่าอยู่ในระดับที่เป็นกลาง เป็นเพราะความเป็นไปได้เรื่องเงินทุนไหลออกจากตลาดเกิดใหม่จากนโยบายของประธานาธิบดีสหรัฐและโอกาสที่ Fed จะขึ้นดอกเบี้ยใน ธ.ค. (Bangkok Post)

• น่าจะมีการช่วยเหลือต่างจังหวัดเพิ่มเติม งบประมาณกลางปีสำหรับพัฒนา 18 กลุ่มจังหวัดรวมถึงโครงการอื่นๆ น่าจะทะลุ 1 แสน ลบ. เพื่อหนุนให้เศรษฐกิจฟื้นตัวและเติบโตได้ตามคาดที่ 3.4-3.5% ในปีหน้า งบประมาณกลางปีจะให้ ครม.เห็นชอบในวันนี้ (Bangkok Post)

• กลุ่ม BSR ชนะประมูลระบบราง: BSR Joint Venture (กลุ่มของ BTS-STEC-RATCH) ได้ชนะการประมูลสำหรับรถไฟฟ้าสายสีชมพูและสายสีเหลืองภายใต้ความร่วมมือภาครัฐและเอกชน (PPP) ของ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ซึ่งแข่งขันกับBEM และ CK สำหรับสองโครงการ ได้แก่ รถไฟฟ้าสายสีชมพู ระยะทาง34.5 กม.(แคราย-มีนบุรี) มูลค่า 53.5พันล้านบาท และสายสีเหลือง 30.4 กม.มูลค่า 51.9 พันล้านบาท (ลาดพร้าว-สำโรง) ทั้งสองเป็นโครงการรถไฟฟ้าโมโนเรล (บางกอกโพสต์)ความเห็น: แม้ว่าผลประมูลยังไม่เป็นที่สิ้นสุด แต่คาดว่ากลุ่ม BSR ก็น่าจะเป็นผู้ได้รับสัมปทานงานนี้ ซึ่งเรามองว่าผู้รับเหมาก่อสร้างจะได้ผลประโยชน์จากงานนี้เต็มที่จากงานรับเหมาก่อสร้าง ซึ่งมีมูลค่า 19.9 พันล้านบาทสำหรับสายสีชมพู และ 21 พันล้านบาทสำหรับสายสีเหลือง เราคาดว่าSTEC เป็นผู้รับผิดชอบในการทำงานก่อสร้าง แต่ในส่วนของการเป็นผู้ประกอบการ PPP อาจจะต้องเผชิญกับค่าใช้จ่ายในการจัดการโดยรวม รวมถึงความยากที่จะดำเนินการให้ถึงจุดคุ้มทุนในระยะยาว เรายังคงแนะนำซื้อสำหรับ STEC ราคาเป้าหมาย 28.00 บาท

• GL(62.00 บ. ถือ ราคาเป้าหมาย AWS 62.00 บ.) ที่ประชุมผู้ถือหุ้น GL มีมติอนุมัติการเข้าซื้อหุ้นสามัญในสัดส่วน 22.27% ของบริษัท Commercial Credit and Finance ซึ่งประกอบธุรกิจให้สินเชื่อในประเทศศรีลังกา มูลค่าการเข้าซื้อราว 1.87 พันลบ. นอกจากนี้ยังเห็นชอบการเข้าซื้อหุ้นทั้ง 100% ในบริษัท BG Microfinance Myanmar มูลค่า 227.24 ลบ. (SET)ความเห็น: เรารวมผลของประเด็นดังกล่าวเข้าไปในประมาณการของเราแล้ว จึงยังคงประมาณการไว้เช่นเดิม คาดกำไรสุทธิปีนี้และปีหน้าอยู่ที่ 1.0 พันลบ. และ 1.7 พันลบ. ตามลำดับ อย่างไรก็ตามด้วย Upside ราคาหุ้นที่จำกัด จึงปรับลดคำแนะนำจาก ซื้อ เป็น ถือ

ต่างประเทศ:

• อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยเมื่อวันอังคาร โดยแกว่งตัวอยู่ในช่วงแคบ ๆ เนื่องจากเทรดเดอร์รอดูเบาะแสจากธนาคารกลางยุโรป (ECB) เกี่ยวกับการเข้าซื้อพันธบัตรตามมาตรการ QE จากการประชุมที่จะมีขึ้นในวันพฤหัสนี้ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี อยู่ที่ระดับ 2.394% เพิ่มขึ้น 0.7 bps จากเมื่อวันจันทร์ ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 30 ปีอยู่ที่ระดับ 3.080% เพิ่มขึ้น 2.5 bps อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 2 ปีอยู่ที่ระดับ 1.120% ลดลง 0.4 bps และไม่ห่างจากระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. 53 หลังจากที่แตะระดับสูงสุดในปลายเดือนพ.ย. (Reuters)

• เงินยูโรและดอลลาร์สหรัฐเคลื่อนไปทาง sideways ในวันพุธก่อนการประชุม ECB ในวันพฤหัสนี้ ซึ่งอาจกำหนดอารมณ์ของนักลงทุนในตลาดอัตราแลกเปลี่ยนหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐแล้ว ค่าเงินยูโรเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยอยู่ที่ระดับ 1.0719 ดอลลาร์สหรัฐหลังจากที่อ่อนค่า 0.5% เมื่อคืนวาน และยังอ่อนค่าเมื่อวันจันทร์สู่ระดับ 1.0505 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค. 58 หลังจากนาย Matteo Renziนายกรัฐมนตรีอิตาลีพ่ายแพ้ในการลงประชามติเกี่ยวกับการปฏิรูปรัฐธรรมนูญ ดอลลาร์สหรัฐยังทรงตัวอยู่ที่ระดับ 113.990 เยน หลังจากที่ขยับขึ้น 0.2% เมื่อคืนวานหลังจากการปรับตัวขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ (Reuters)

สหรัฐ:

• ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐปิดบวกเมื่อวันอังคาร โดยดาวโจนส์ปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์อีกครั้ง นำโดยหุ้นกลุ่มธนาคารที่ดีดตัวขึ้นอย่างร้อนแรงนับตั้งแต่หลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีเนื่องจากถูกมองว่าเป็นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้นและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของทรัมป์ ตลาดหุ้นยังได้รับแรงหนุนจากข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่เป็นบวกซึ่งประกาศในช่วงที่ผ่านมาและมีความเป็นไปได้ว่าช่วงเวลาตกต่ำของผลการดำเนินงานของบริษัทต่าง ๆ ในสหรัฐน่าจะสิ้นสุดแล้วในไตรมาส 3/59 และกำลังเข้าสู่ช่วงเวลาเติบโตของกำไรสุทธิ (Reuters)

ยุโรป:

• ตลาดหุ้นยุโรปเมื่อวันอังคารปรับตัวสูงขึ้น ติดต่อกันเป็นวันที่สอง นำโดยแรงหนุนจากหุ้นกลุ่มธนาคารที่พุ่งสูงขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 11 เดือน แม้ว่าจะมีแรงกดดันจากผลการลงประชามติปฏิรูปรัฐธรรมนูญในอิตาลีก็ตาม ทั้งนี้หุ้นธนาคารอิตาลียังได้แรงหนุนหลังจากมีข่าวว่ากระทรวงการคลังอิตาลีเตรียมจะอัดฉีดเงินทุนเพิ่มให้กับธนาคาร Monte Paschiโดยจะเข้าซื้อหนี้ด้อยสิทธิ์ (Subordinated debt) จากนักลงทุนรายย่อย (Reuters)

เอเชีย:

• ความเชื่อมั่นของผู้ผลิตญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่สี่ติดต่อกัน เป็นระดับสูงสุดในรอบ16 เดือนในเดือน ธ.ค. ขณะที่ความเชื่อมั่นของภาคบริการก็เพิ่มขึ้นด้วย แสดงให้เห็นโดย Reuters Tankan's sentiment indexes ค่าเงินเยนที่อ่อนค่าลงก็ทำให้โอกาสของผู้ส่งออกสดใส (Reuters)

• หุ้น China ปรับตัวลดลงในวันอังคารขณะที่นักลงทุนไตร่ตรองผลกระทบที่เป็นไปได้เกี่ยวกับการค้าจากความเห็นของผู้กำกับดูแลตลาดหลักทรัพย์ชั้นนำเกี่ยวกับการครอบงำกิจการที่ไม่เป็นมิตรในวันที่สองของการเชื่อมโยงตลาดหลักทรัพย์เซินเจิ้นกับฮ่องกง หุ้นในตลาดนี้ยังคงมีประสิทธิภาพสูง (outperform) โดยบวกขึ้น 0.2% ตลาดจีนมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นหนุนโดยแรงซื้อหุ้นขนาดใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีการเพิ่มน้ำหนักการลงทุนกับหุ้นกลุ่มประกันภัย (Reuters)

สินค้าโภคภัณฑ์:

• ราคาน้ำมันดิบสหรัฐลดลงวันอังคาร เป็นครั้งแรกในรอบสัปดาห์หลังจาก OPEC ตกลงลดกำลังการผลิตท่ามกลางความสงสัยว่า OPEC จะสามารถลดอุปทานได้จริงหรือ เพราะข้อมูลชี้ว่าการผลิตทำสถิติสูงสุดสำหรับภูมิภาคที่ส่งออกเป็นหลัก หลังจากบวกไปแล้วกว่า 15% ติดกันสามวันทำการตั้งแต่ 30 พ.ย. น้ำมันดิบ Brent ล่วงหน้าร่วง 1.01 ดอลลาร์สหรัฐหรือ 1.8% ปิด 53.93 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล น้ำมันดิบสหรัฐส่งมอบ ม.ค. ปิดลบ 86 เซนต์ต่อบาร์เรล (-1.7%) อยู่ที่ 50.93 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล (Reuters)

• ราคาทองคำอยู่แถวระดับต่ำสุดรอบ 10 เดือนวันอังคารเพราะตลาดเตรียมรับการขึ้นดอกเบี้ยสหรัฐในสัปดาห์หน้าและคาดว่านโยบายการเงินจะตึงตัวขึ้นอีกเช่นกันในปีหน้า ราคาทองคำตลาดจรลดลง 0.18% ที่ 1,168.08 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ บวกเล็กน้อยจากจุดต่ำสุดรอบ 10 เดือนที่เกิดขึ้นเมื่อวันจันทร์ที่ 1,157 ดอลลาร์สหรัฐ ราคาทองคำล่วงหน้าสหรัฐลบ 6.4 ดอลลาร์หรือ -0.54% ปิดที่ 1,170.1 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ (Reuters)