จี้รบ.เร่งข้อสรุปนำก๊าซธรรมชาติมาใช้ ก่อนแหล่งเดิมหมด

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว.พลังงาน กล่าวว่า สืบเนื่องจากกรณีที่มีข้อขัดแย้งเรื่องพ.ร.บ ปิโตรเลียม โดยถึงขนาดที่อธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติขอลาออกนั้น อยากให้รัฐบาลและคสช.ที่มีอำนาจเต็ม เร่งหาข้อสรุปเพื่อให้สามารถนำก๊าซธรรมชาติขึ้นมาทดแทนแหล่งเดิมที่กำลังจะหมดไป

อยากให้คำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของชาติ และต้องคำนึงว่าการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการใช้พลังงานและโครงสร้างราคาพลังงานเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว กลุ่มผู้ต่อต้านก็ต้องคำนึงว่า ราคาพลังงานไม่ได้สูงเหมือนในอดีตแล้ว จะไปเรียกร้องผลตอบแทนมากๆ ก็คงไม่มีใครกล้ามาลงทุน ซึ่งจะเป็นผลเสียกับประเทศมากกว่า

อีกทั้งหากยังขุดก๊าซขึ้นมาทดแทนไม่ได้ก็ไม่รู้จะเรียกคืนท่อก๊าซทำไม เพราะถ้าไม่มีก๊าซ ท่อเดินก๊าซก็ไม่ต่างอะไรกับเศษเหล็กเท่านั้น ทั้งนี้ กลุ่มผู้ต่อต้านควรมุ่งตรวจสอบทุจริตในโครงการการลงทุนต่างประเทศของรัฐวิสาหกิจด้านพลังงานมากกว่า อยากให้หน่วยงานที่รับผิดชอบเข้าตรวจสอบการซื้อหุ้นเหมืองถ่านหินของบริษัทลูกของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตที่ไปลงทุนในประเทศอินโดนิเซียด้วย ซึ่งไม่สมเหตุสมผลเนื่องจากใช้เงินลงทุนจำนวนมากถึง 1.17 หมื่นล้านบาทในสัดส่วนเพียงแค่ 11-12% เท่านั้นโดยไม่มีอำนาจในการบริหาร

และราคาถ่านหินในอนาคตก็มีแนวโน้มที่จะลดต่ำลงเรื่อยๆ สามารถซื้อขายในตลาดสากลได้โดยปกติ ไม่มีเหตุผลที่จะต้องไปถือหุ้นในเหมืองถ่านหินนี้ รวมทั้งยังถือหุ้นในสัดส่วนที่น้อยมาก นอกจากนี้ มีข่าวว่าอาจจะมีการทุจริตและความไม่ชอบมาพากลในการซื้อขายหุ้นครั้งนี้ในประเทศอินโดนิเซียหรือไม่ ซึ่งก่อนหน้านี้ปตท.ก็มีปัญหาในการลงทุนในอินโดนิเซียและมีข่าวการทุจริตเช่นกัน และยังค้างอยู่ในป.ป.ช.

ดังนั้น อยากให้มีการตรวจสอบการซื้อขายหุ้นครั้งนี้ ว่าเป็นไปตามข่าวในประเทศอินโดนิเซียที่บอกว่ามีการจ่ายใต้โต๊ะกันอย่างมหาศาลหรือไม่ รวมทั้งอยากให้หน่วยงานที่รับผิดชอบและฝ่ายคัดค้านต่อต้านเรื่องเหล่านี้มากกว่าจะขัดขวางการนำก๊าซขึ้นมาใช้ เพราะในอนาคตก๊าซเหล่านี้อาจจะมีค่าน้อยลงหรืออาจไม่เหลือค่าเลยก็ได้ถ้าโครงสร้างการใช้พลังงานของโลกเปลี่ยนไป ซึ่งรวมถึงราคาถ่านหินในอนาคตด้วย

อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตว่า การลงทุนในต่างประเทศของรัฐวิสาหกิจด้านพลังงานของไทยนับตั้งแต่ในอดีตมักมีแต่ข้อครหาการทุจริตอยู่เสมอ และการลงทุนเกือบทุกโครงการมักจะขาดทุนและไม่ประสบความสำเร็จด้วย