เอชียเวลท์คาดหุ้นตลอดสัปดาห์ผันผวนเหตุกังวลเม็ดเงินไหลออก

เอชียเวลท์คาดหุ้นตลอดสัปดาห์ผันผวนเหตุกังวลเม็ดเงินไหลออก

เอเชียเวลท์คาดตลอดสัปดาห์นี้หุ้นผันผวน ผลจากปัจจัยต่างประเทศ-เม็ดเงินไหลออกเอเชีย หลังแนวโน้มเฟดขึ้นดอกเบี้ยหุ้นเคลื่อนไหวในกรอบ1483-1518จุด

นางวชิราลักษณ์ แสงเลิศศิลปชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บล.เอเชีย เวลท์ กล่าวว่า ตลาดหุ้นสัปดาห์นี้ จะผันผวน หลังนายกรัฐมนตรี มัตเตโอ เรนซี แห่งอิตาลี ประกาศลาออกหลังการเปิดเผยผลการลงประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 4 ธ.ค.ที่ผ่านมา ที่ประชาชนอิตาลีส่วนใหญ่ ลงมติไม่เห็นด้วยกับการปฏิรูปรัฐธรรมนูญ ซึ่งกรณีนี้ทำให้ตลาดมีมุมมองว่าแนวโน้มการเลือกตั้งในยุโรป ที่จะมีขึ้นปีหน้า มีความเป็นไปได้ว่าประชาชนส่วนใหญ่ จะสนับสนุนนโยบายที่ไม่ต้องการผู้อพยพ ซึ่งจะนำไปสู่กรณีคล้ายกับเบร็กซิท ซึ่งจะกดดันให้มีการเปลี่ยนแปลงในสหภาพยุโรป 

ปัจจัยสำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ ความกังวลเรื่องเม็ดเงินจะไหลออกจากประเทศตลาดเกิดใหม่ และเอเชียที่ยังคงอยู่ จากแนวโน้มที่ชัดเจนว่า การประชุม FOMC ของธนาคารกลางสหรัฐ ในวันที่ 13-14 ธ.ค. ที่ตลาดคาดการณ์ว่าจะปรับดอกเบี้ยขึ้นแน่ และจะปรับขึ้นต่อเนื่องอีกในปี 2560 หลังจาก นายโดนัลด์ ทรัมป์ จะดำเนินนโยบายขยายตัวทางการคลังเต็มที่ ซึ่งน่าจะส่งผลให้เงินทุนโลกบางส่วนจะไหลออกจากตลาดเกิดใหม่ทั้งหลาย รวมทั้งตลาดหุ้นไทยด้วย 

นอกจากนี้ ยังต้องติดตามนโยบายการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐ จะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร โดยเฉพาะกับจีน ทั้งนี้ สัปดาห์นี้ คาดกรอบการเคลื่อนไหวดัชนีหุ้นที่ 1,483-1,518 จุด

ดังนั้นด้านกลยุทธ์การลงทุน หากตลาดหุ้นปรับตัวลงมา ยังเป็นโอกาสในการเข้าซื้อหุ้น ที่มีปัจจัยพื้นฐานดี และควรเลือกที่ได้ประโยชน์จากนโยบายใหม่ของสหรัฐ โดยสัปดาห์นี้ Trading Idea ของ บล.เอเชีย เวลท์ แนะนำซื้อ TU ของ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เพราะคาดว่า จะได้รับผลบวกจากนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลทรัมป์ เกี่ยวกับการว่าจ้างงานในสหรัฐ รวมถึงการกีดกันทางการค้า โดยบริษัทของ TU ที่ตั้งถิ่นฐานในสหรัฐ ได้แก่ Chicken of the Sea, Chicken of the Sea Frozen Foods และ US Pet Nutrition รวมถึง Red Lobster ซึ่ง TU เพิ่งเข้าซื้อกิจการ 

บล.เอเชีย เวลท์ มองว่ าค่าของเงินดอลลาร์ช่วงสิ้นปีนี้ไปจนถึงปี 2560 หลังจากเฟดปรับขึ้นดอกเบี้ยคาดจะแข็งค่าต่อเนื่อง ทั้งนี้ TU มีรายได้ในรูปเงินดอลลาร์ 63% ของรายได้รวมในงวด 9 เดือนแรกปี นี้ และเชื่อว่าฐานธุรกิจของ TU ในสหรัฐที่อยู่ภายใต้การดำเนินงานของบริษัทย่อยของ TU จะได้ประโยชน์จากนโยบายเศรษฐกิจของทรัมป์ เช่น การปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคลของกิจการในสหรัฐ จาก 35% เป็น 15% 

อีกทั้ง TU เพิ่งซื้อกิจการ Red Lobster ด้วยเงินลงทุน 575 ล้านดอลลาร์ ซึ่งมีการอัตราตำแหน่งการจ้างงานในสหรัฐมากขึ้น 50,000 อัตรา จะมีแนวโน้มได้รับผลบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของทรัมป์อีกด้วย 

นอกจากนี้ TU ได้เข้าซื้อกิจการในหลายประเทศ ทั้งเยอรมนี แคนาดา และอินเดีย ทำให้ฐานรายได้ขยาย และเป็นการกระจายความเสี่ยงในด้านภูมิศาสตร์อีกด้วย และ TU ได้ขยายสายการผลิตจากเดิมที่เน้นขายปลาทูน่า เป็นปลาซาดีน ปลาแมคเคอเรล และปลาแซลมอน ทำให้สินค้าไม่กระจุกตัวเพียงอย่างเดียว

ส่วนการเกิดการแพร่ระบาดไข้หวัดนก H5N8 ในยุโรปและเอเชีย และหลายประเทศทั่วโลก จะทำให้พฤติกรรมการบริโภคเลี่ยงการกินเนื้อสัตว์ปีก และหันมาบริโภคอาหารทะเลทดแทนบางส่วนแต่ไม่มากนัก โดยบริษัทแนะนำให้นักลงทุน ปรับลดการลงทุนจากหุ้นกลุ่มไก่ เช่น CPF, GFPT, TFG และ BR และแนะนำหันมาลงทุน TU แทน โดยเราคาด TU จะมีกำไรสุทธิปี 2559 เติบโต 31% และ 18% ในปี 2560 และแนะนำซื้อ