ราคาน้ำมันโลกพุ่ง โอเปคลดผลิตรอบ8ปี

ราคาน้ำมันโลกพุ่ง โอเปคลดผลิตรอบ8ปี

ราคาน้ำมันในตลาดโลกพุ่งแตะระดับ 52 ดอลล์/บาร์เรล หลังโอเปคตกลงลดกำลังผลิตครั้งแรกรอบ 8 ปี คาดครึ่งแรกปีหน้าราคาน้ำมันเฉลี่ยอยู่ที่ 55 ดอลล์

องค์การประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปค) ตกลงกันได้เป็นครั้งแรกในรอบ 8 ปี ที่จะลดกำลังการผลิต โดยซาอุดีอาระเบีย ยอมหั่นผลผลิตลงในปริมาณมากที่สุด พร้อมยอมอ่อนข้อให้คู่แข่งสำคัญอย่างอิหร่าน ไม่ต้องลดกำลังผลิต สภาพการณ์ดังกล่าวดันราคาน้ำมันให้พุ่งขึ้นกว่า 10%

โอเปคจับมือกันร่วมลดกำลังผลิตครั้งแรกตั้งแต่ปี 2551 เพื่อลดปริมาณน้ำมันที่ล้นเกินในตลาดโลกจนฉุดราคาให้ตกต่ำ ทั้งยังเป็นการพลิกท่าทีจากที่เมื่อปี 2557 ใช้กลยุทธ์ผลิตน้ำมันออกมาแบบตามอำเภอใจเพื่อบีบบรรดาคู่แข่ง โดยเฉพาะผู้ผลิตน้ำมันจากหินดินดานของสหรัฐ ให้ออกจากตลาดไป

นายโมฮัมเหม็ด บิน ซาเลห์ อัลซาดา รัฐมนตรีพลังงานกาตาร์ แถลงว่าสมาชิกโอเปค 14 ประเทศจะลดกำลังผลิตลงวันละ 1.2 ล้านบาร์เรล เหลือวันละ 32.5 ล้านบาร์เรล ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2560 พร้อมระบุว่าการบรรลุความเห็นชอบครั้งนี้ถือเป็นข้อตกลงประวัติศาสตร์ ซึ่งแน่นอนว่าจะช่วยสร้างสมดุลแก่ตลาด และลดสต็อกน้ำมันที่มีปริมาณมาก

ซาอุฯลดผลิตเกือบ5แสนบาร์เรล

แถลงการณ์ของโอเปคระบุว่า ซาอุฯ จะลดกำลังผลิตจากระดับของเดือนต.ค.ลงวันละ 486,000 บาร์เรล เหลือ 10.1 ล้านบาร์เรลต่อวัน อิรักจะลดการผลิตลงวันละ 210,000 บาร์เรล เหลือ 4.4 ล้านบาร์เรล สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ลดการผลิตวันละ 139,000 บาร์เรล เหลือ 2.9 ล้านบาร์เรล คูเวตลดการผลิตวันละ 131,000 บาร์เรล กาตาร์ลดกำลังการผลิตวันละ 30,000 บาร์เรล

อิหร่านได้รับอนุญาตให้ผลิตเพิ่มขึ้นจากเดือนต.ค.ได้เล็กน้อย ที่ 90,000 บาร์เรล ซึ่งถือเป็นชัยชนะของอิหร่านที่ให้เหตุผลว่าต้องการชิงส่วนแบ่งตลาดคืนมาหลังจากตะวันตกเพิ่งยกเลิกมาตรการคว่ำบาตร

ข้อตกลงนี้ถือเป็นการสรุปความเห็นชอบเบื้องต้นเมื่อเดือนก.ย.ที่โอเปคเห็นพ้องจะลดการผลิตแต่ยังไม่ได้ลงรายละเอียด

นอกจากนั้น รัสเซีย ซึ่งไม่ได้เป็นสมาชิกโอเปค ยังจะร่วมลดการผลิตด้วยเป็นครั้งแรกในรอบ 15 ปีเพื่อช่วยดันราคาน้ำมัน โดยรัสเซียจะลดกำลังผลิตวันละ 300,000 บาร์เรล ส่วนอาร์เซอร์ไบจันกับคาซักสถาน ซึ่งไม่ได้เป็นสมาชิกโอเปค ก็กล่าวว่าอาจลดกำลังผลิตลงเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม อินโดนีเซีย ซึ่งเป็นประเทศเอเชียแห่งเดียวที่เป็นสมาชิกโอเปค จะระงับสมาชิกภาพในกลุ่มโอเปค หลังจากเพิ่งกลับเข้าร่วมในปีนี้ เพราะอินโดนีเซียไม่ต้องการลดกำลังผลิต

ราคาน้ำมันดิบโลกพุ่ง

ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ทะยานขึ้นถึง 13% ในตลาดสิงคโปร์วานนี้ (1 ธ.ค.) จากระดับต่ำกว่า 50 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ไปอยู่ที่ 52.10 ดอลลาร์ ส่วนน้ำมันดิบเวสต์เทกซัสอินเตอร์มีเดียทแตะระดับ 50.11 ดอลลาร์ นอกจากนั้น หุ้นพลังงานยังทะยานขึ้นในหลายตลาดทั่วเอเชีย ไม่ว่าจะเป็นหุ้นบริษัทอินเพกซ์ในตลาดโตเกียว ที่ทะยานขึ้น 10% หุ้นบริษัทวูดไซด์ปิโตรเลียมพุ่งขึ้นกว่า 6% หุ้นบริษัทซีนุกของจีนพุ่งขึ้น 6.1% ในตลาดฮ่องกง และหุ้นบริษัทปิโตรไชนาเพิ่มขึ้นเกือบ 5%

การทะยานของหุ้นพลังงานดันให้ดัชนีนิกเคอิในตลาดโตเกียว ปิดตลาดพุ่งขึ้น 1.1% สู่ระดับสูงที่สุดของปีนี้ ส่วนดัชนีหั่งเส็งในตลาดฮ่องกงบวก 0.4% ตลาดเซี่ยงไฮ้เพิ่มขึ้น 0.7% ตลาดฟิลิปปินส์พุ่งขึ้น 1.2%

นายอมฤตา เซน นักวิเคราะห์แห่งบริษัทที่ปรึกษาเอนเนอจีแอสเปค ระบุว่าการเคลื่อนไหวของโอเปคจะเร่งให้ตลาดเข้าสู่ภาวะสมดุลเร็วขึ้น และทำให้ปริมาณน้ำมันที่ล้นเกินในตลาดโลกลดลง

นายจิงยี่ ปาน นักวิเคราะห์แห่งบริษัทไอจี กล่าวว่า การบรรลุข้อตกลงกันได้ ช่วยกอบกู้ชื่อเสียงของโอเปค และหลังจากนี้ตลาดจะจับตาดูการนำข้อตกลงไปบังคับใช้ เพราะในอดีต สมาชิกโอเปคเคยล้มเหลวในการคงการผลิตตามโควตามาแล้ว

คาดราคาน้ำมันเฉลี่ย 55 ดอลล์

โกลด์แมนแซคส์ คาดว่า ราคาน้ำมันเฉลี่ยจะอยู่ 55 ดอลลาร์ในช่วงครึ่งแรกของปีหน้า กระนั้นยังมีกระแสวิตกว่าผู้ผลิตรายอื่น โดยเฉพาะผู้ผลิตน้ำมันจากหินดินดานของสหรัฐ จะชิงเพิ่มกำลังผลิต

นายเจสัน เชนเกอร์ นักวิเคราะห์แห่งเพรสติจอีโคโนมิกส์ คาดว่า ราคาน้ำมันไม่น่าจะขึ้นไปถึงระดับ 60 ดอลลาร์ในทันที

ขณะที่ธนาคารบาร์เคลย์ ระบุว่า ข้อตกลงของโอเปคเป็นการลดกำลังผลิต ไม่ไช่ลดปริมาณการส่งออก นอกจากนั้น ปริมาณการผลิตที่ลดลงก็อยู่ในระดับที่สอดคล้องกับที่โอเปคคาดไว้แล้ว ไม่ว่าจะมีการทำข้อตกลงกันหรือไม่

รายงานข่าว ระบุว่า แม้ราคาน้ำมันดีดตัวขึ้น แต่ระดับราคายังไม่สูงมากนักจากระดับของเมื่อเดือนก.ย.หรือต.ค. ทั้งยังอยู่ในระดับไม่ถึงครึ่งหนึ่งของเมื่อกลางปี 2557 ซึ่งเป็นช่วงที่น้ำมันเริ่มล้นตลาด

ทั้งนี้ ปัจจุบันโอเปคผลิตน้ำมันวันละ 33.6 ล้านบาร์เรล และข้อตกลงใหม่จะทำให้ปริมาณการผลิตลดเหลือระดับเดียวกับเมื่อเดือนม.ค. 2559 ซึ่งเป็นช่วงที่ราคาดำดิ่งลงต่ำที่สุดในรอบ 10 ปี

โอเปคจะหารือกับผู้ผลิตนอกกลุ่มโอเปคในวันที่ 9 ธ.ค. และจะประชุมกันครั้งต่อไปวันที่ 25 พ.ค. เพื่อติดตามข้อตกลงและอาจขยายข้อตกลงออกไปอีก 6 เดือน