‘บีซีพีจี’หวังอีบิทดาปีหน้าโต20%

‘บีซีพีจี’หวังอีบิทดาปีหน้าโต20%

"บีซีพีจี" วางเป้าหมายอีบิทดาปี60 โตไม่ต่ำกว่า 20% จากปีนี้คาดอยู่ที่ 2.6 พันล้าน เหต COD โรงไฟฟ้าเพิ่มมากกว่า "50เมกะวัตต์"

นายบัณฑิต สะเพียรชัย กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) BCPG กล่าวว่า ปี 2560 บริษัทวางเป้าหมายกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่ายภาษีและค่าเสื่อมราคา (EBITDA) เติบโตไม่ต่ำกว่า 20% จากปีนี้คาดอยู่ที่ 2,600 ล้านบาท เนื่องจากในปีหน้า บริษัทจะเริ่มขายไฟเพิ่มเติมมากกว่า 50 เมกะวัตต์ แบ่งเป็นโครงการโซลาร์สหกรณ์ในประเทศ 12 เมกะวัตต์ และโครงการโซลาร์ในญี่ปุ่น รวมถึงโครงการอื่นๆ 30-40 เมกะวัตต์ ซึ่งจะทำให้มีการรับรู้รายได้ที่มากขึ้น

ปัจจุบันบริษัทมีโรงไฟฟ้าที่สามารถจ่ายไฟเข้ารระบบในเชิงพาณิชย์ (COD) แล้วทั้งหมด 196 เมกะวัตต์ และอยู่ระหว่างการก่อสร้าง 222 เมกะวัตต์ รวมทั้งสิ้น 418 เมกะวัตต์ ขณะเดียวกัน บริษัทยังคงเป้าหมายระยะยาวภายในปี 2563 จะมีกำลังการผลิตถึง 1,000 เมกะวัตต์

เขากล่าวว่า ปี 2560 ได้จัดสรรงบลงทุนไว้ที่ 5,000-10,000 ล้านบาท เพื่อใช้ลงทุนธุรกิจพลังงานสะอาดทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งนโยบายของบริษัท มีทั้งรูปแบบเข้าซื้อกิจการและลงทุนในโครงการบางส่วน แต่ส่วนใหญ่ต้องการมีสิทธิในการบริหาร ซึ่งในปีหน้าคาดว่าจะเห็นดีลดังกล่าวในหลายประเทศ
ส่วนในปีนี้ บริษัทคาดว่าจะได้ข้อสรุปโครงการพลังงานลมในต่างประเทศ ซึ่งอยู่ระหว่างการเจรจาและจะเป็นพลังงานรูปแบบใหม่ให้กับบริษัทในปีหน้า

ภาพรวมธุรกิจพลังงานสะอาดในอนาคตด้านกำไรจะมีแนวโน้มปรับตัวลดลง เพราะต้องแข่งขันกับโรงไฟฟ้าพลังงานหลัก ทำให้บริษัทฯต้องพยายามควบคุมค่าใช้จ่าย โดยขณะนี้มีแผนจะหาพันธมิตรที่เป็นผู้รับเหมาก่อสร้างโรงไฟฟ้า รวมถึงผู้จำหน่ายแผงพลังงานไฟฟ้าเพื่อทำให้ต้นทุนปรับตัวลดลง รวมถึงหาโอกาสลงทุนในประเทศที่มีค่าไฟอยู่ในระดับที่ดี ซึ่งอัตรากำไรที่เหมาะสมในการลงทุนธุรกิจไฟฟ้าควรมีกำไรอยู่ที่ 3-5 ล้านบาทต่อเมกะวัตต์

อย่างไรก็ตาม บริษัทยอมรับว่า รายได้ปีนี้จะทำได้ใกล้เคียงกับปี 2558 ที่มีรายได้ 3,038.24 ล้านบาท แม้ปีนี้จะมีรายได้เข้ามาจากโรงไฟฟ้าญี่ปุ่น เนื่องจากในปีนี้สภาพอากาศไม่เอื้ออำนวยต่อการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ และกำไรสุทธิปีนี้จะลดลงจากปี 2558 ที่มีกำไรสุทธิ 2,147.37 ล้านบาท เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมา บริษัทมีค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องในการเข้าซื้อกิจการโรงไฟฟ้าในญี่ปุ่นราว 200 -300 ล้านบาท