หุ้นพลังงานหนุนบรรยากาศลงทุน และการผลักดันหุ้นในกลุ่มอื่นๆ

หุ้นพลังงานหนุนบรรยากาศลงทุน และการผลักดันหุ้นในกลุ่มอื่นๆ

หากหุ้นพลังงานเปิดโดดมากไม่ควรไล่ซื้อ และพิจารณากลุ่มอื่นแทน

หุ้นไทยวานนี้ปรับเพิ่มขึ้น 13 จุด โดยปริมาณการซื้อขายเกือบ 7 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากการ MSCI ได้มีการปรับตัวหุ้นที่ใช้ในการคำนวณดัชนี (rebalancing) รวมถึงมีการเพิ่มน้ำหนักหุ้นไทยขึ้นอีก 0.07% สู่ 2.29% ปริมาณการซื้อขายในช่วงท้ายตลาดอยู่ที่ราว 3 หมื่นล้านบาท ซึ่งไม่ได้ผิดปกติแต่ย่างใด 

ราคาน้ำมันปรับเพิ่มขึ้นกว่า 8% หลังโอเปค สามารถบรรลุข้อตกลงปรับลดกำลังการผลิต 1.2 ล้านบาร์เรล/วันในการประชุมเมื่อวานนี้ สู่ระดับ 32.5 ล้านบาร์เรล/วัน จากเดิมที่ระดับ 33.8 ล้านบาร์เรล/วัน โดยเป็นไปตามกรอบข้อตกลงในการประชุมที่กรุงอัลเจียร์สในเดือนก.ย. โดยข้อตกลงลดกำลังการผลิตจะมีผลตั้งแต่ 1 ม.ค.60 ทองคำปรับลดลงจากการแข็งค่าของเงินเหรียญสหรัฐฯ จากตัวเลขเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล และการจ้างงานภาคเอกชนที่ดีกว่าคาด ด้าน TTF (ETF หุ้นไทยที่ซื้อขายในสหรัฐฯ) ปรับเพิ่มขึ้น 1.15%

เราประเมินหุ้นไทยวันนี้ปรับตัวขึ้น ตอบรับการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันดิบ โดยคาดว่ากลุ่มพลังงานจะสร้างบรรยากาศซื้อขายเชิงบวกให้กับตลาด และดึงให้หุ้นกลุ่มอื่นๆ มีบรรยากาศการลงทุนที่เป็นบวกตามกัน ทั้งปิโตรเคมี ธนาคาร ท่องเที่ยว ขณะที่หุ้นรายตัวที่เกี่ยวกับการบริโภค คาดยังได้ปัจจัยบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจปลายปี และมาตรการสนับสนุนการลดภาษีสำหรับการใช้จ่ายเพิ่มเติมที่คาดจะได้คับการอนุมัติจากครม.ในช่วงสัปดาห์หน้า (6 ธ.ค.) เราคงมุมมองเชิงบวกต่อการลงทุนหุ้นไทยหลังการเลือกตั้งประธานาธิบสหรัฐฯ จนถึงต้นธ.ค. ซึ่งจะเริ่มมีความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอกเพิ่มขึ้น รวมทั้งอาจได้รับแรงกดดันจากตัวเลขเศรษฐกิจไทยที่ชะลอตัวลง ทั้งจากการปราบทัวร์ศูนย์เหรียญและช่วงไว้ทุกช์ของคนไทย

สำหรับปัจจัยติดตามที่สำคัญ :  4 ธ.ค. - ประชามติรัฐธรรมนูญอิตาลี / 13-14 ธ.ค. - ประชุมเฟด (ทราบผลเช้า 15 ธ.ค.) / 21 ธ.ค. - การปรับลด GDP โดยธปท.

คำแนะนำทางกลยุทธ์ : หากหุ้นพลังงานเปิดโดดมากไม่ควรไล่ซื้อ และพิจารณากลุ่มอื่นแทน อาทิ ธนาคาร ท่องเที่ยว คาดเห็นการผลักดันหุ้นรายตัว และตลาดขึ้นทดสอบ 1520-1530 เก็งกำไรหุ้นได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงสิ้นปี และเพิ่มความระมัดระวังความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอกเมื่อเข้าสู่ช่วง ธ.ค.อันเนื่องมาจากความเสี่ยงจากการปรับลดประมาณการตัวเลขเศรษฐกิจ // หุ้น top pick เชิงกลยุทธ์ SCB, AOT, PTTGC / เก็งกำไร DTAC*, PSTC*, JMART*, TLUXE* 

แนวรับ/แนวต้าน : 1500/1520-1530, 1550 สัดส่วนการลงทุน : เงินสด 40% : พอร์ตหุ้น 60% 

ประเด็นเก็งกำไรเชิงกลยุทธ์

• มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐ: กลุ่มค้าปลีกและผู้จำหน่ายสินค้าไอที รวมถึงกระเบื้อง TK, S11, JMART, SYNEX, DCC, DRT / ห้างสรรพสินค้า และโมเดิร์นเทรด ได้แก่ ROBINS, BIGC, MAKRO, CPN, HMPRO / กลุ่มท่องเที่ยว ได้แก่ AOT, ERW, CENTEL และ MINT

• กลุ่มอาหาร/เกษตร/ยาง/เรือ: GFPT*, CPF, TFG*, TU, CFRESH*, STA*, TRUBB*, TTA*, PSL*, RCL*

• หุ้นที่ได้ประโยชน์จาก USD แข็งค่า: BH, ERW, IRPC, PTT, TU / ยูโรอ่อน: THAI, TPIPL

• หุ้นได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาขึ้น (เงินเฟ้อ): BLA*, TIP*, EASTW*

(* หุ้นที่ไม่อยู่ในการวิเคราะห์ของ UOBKH/หุ้นแนะนำเชิงกลยุทธ์ ผู้ลงทุนควรพิจารณาจุดตัดขาดทุน ราว 3-5%)




ประเด็นหุ้นเก็งกำไรที่น่าสนใจ

• DTAC* (45) : ราคาหุ้นปรับลดลงมากเกินไป ซื้อขายที่เพียง 36% ของ market cap TRUE ในขณะที่มีมูลค่าของลูกค้าหนึ่งราย (EV/Subscriber) ที่ 4,481 บาท ต่ำกว่า TRUE ที่ 13,313 บาท ทั้งที่ยังคงมีลูกค้า 25.7 ล้านราย (TRUE ที่ 22.6 ล้านราย) / ตัดขาดทุนที่ 34.00 บาท นอกจากนี้ DTAC และ CAT บรรลุข้อตกลงเบื้องต้นในการตั้งบริษัทร่วมทุนเพื่อให้เช่าเสาและอุปกรณ์โทรคมนาคม ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงของการหมดสัมปทานและปลดล็อคให้ DTAC สามารถลงทุนในโครงข่าย โดยไม่ต้องโอนสินทรัพย์ให้รัฐซึ่งสัมปทานดังกล่าวใกล้หมดอายุในปี 2561