ศาลรับฟ้อง 'พระเมธีฯ-พวก4ราย' คดีหมิ่นปมประกาศอุกเขปนียกรรม

ศาลรับฟ้อง 'พระเมธีฯ-พวก4ราย' คดีหมิ่นปมประกาศอุกเขปนียกรรม

ศาลอาญา สั่งรับฟ้อง "พระเมธีธรรมาจารย์-2พระกลุ่มพิทักษ์พระพุทธฯ" คดีหมิ่น "พุทธอิสระ" ปมประกาศอุกเขปนียกรรม

ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก วันที่ 30 พ.ย.59 ศาลนัดฟังคำสั่ง คดีหมายเลขดำ อ.1160/2559 ที่ คดี พระพุทธะอิสระ อดีตเจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย อ.สามพราน จ.นครปฐม เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พระเมธีธรรมาจารย์ หรือ เจ้าคุณประสาร จันทสาโร เลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย,นายเมธาพันธ์ โพธิธีรโรจน์ เลขาธิการสมาคมนักวิชาการเพื่อพระพุทธศาสนา (สนพ.),พระอธิการฉัตรชัย อธิจิตโต ประธานองค์กรพิทักษ์พระพุทธศาสนากลุ่มพระสงฆ์ภาคใต้ และพระปลัดนรุตม์ชัย อภินันโท เลขาธิการองค์กรพิทักษ์พระพุทธศาสนากลุ่มพระสงฆ์ภาคใต้ เป็นจำเลยที่1-4

ในความผิดฐานข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใดฯ โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิตร่างกายฯ,หมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา309และ328,ความผิดตาม พ.ร.บ.ปกครองสงฆ์ พ.ศ.2505(แก้ไขเพิ่มเติมฉบับที่2535)มาตรา25และกฎมหาเถรสมาคม

จากกรณีเมื่อวันที่24มี.ค. -5เม.ย.59 จำเลยได้ใช้คำพูดกล่าวประกาศจะขับไล่โจทก์ให้ออกจากหมู่สงฆ์ด้วยการประกาศอุกเขปนียกรรม ซึ่งอุกเขปนียกรรม เป็นวิธีการลงโทษกับสงฆ์ผู้ต้องอาบัติที่ไม่ยอมรับอาบัติด้วยการวางเฉย ไม่ร่วมสังฆกรรมด้วย โดยจำเลยทั้ง4ยังชักชวนสั่งการให้ภิกษุที่เป็นเจ้าคณะปกครอง กระทำกรรมที่ละเมิดหลักธรรมวินัย ด้วยการประกาศอุกเขปนียกรรมอันมิชอบต่อโจทก์ ซึ่งละเมิด พ.ร.บ.ปกครองคณะสงฆ์ พ.ศ.2505และกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่11พ.ศ.2521ว่าด้วยการลงนิคหกรรม

โดยวันนี้ นายธีรยุทธ สุวรรณเกสร ทนายความของพระพุทธะอิสระโจทก์ และทนายความจำเลยมาศาล

ขณะที่ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่า โจทก์ เบิกความแสดงหลักฐานภาพข่าวที่มีการแนะนำให้คณะสงฆ์ทั่วประเทศทำอุกเขปนียกรรมโจทก์ ซึ่งตามพระวินัย อุกเขปนียกรรม คือ การลงโทษพระภิกษุผู้ต้องหาอาบัติแล้วไม่ยอมรับอาบัติ ทำให้บุคคลทั่วไปที่อ่านข้อความอ่านเข้าใจว่าโจทก์เป็นพระประพฤติไม่ชอบ ต้องอาบัติแล้วไม่ยอมรับอาบัติ อันเป็นการกระทบต่อชื่อเสียงและเกียติคุณของโจทก์

โดยเนื้อหาข่าว ระบุ ชื่อของจำเลยที่ 1 , 2 , 4 เป็นผู้ให้ข้อมูล ซึ่งโจทก์ ยืนยันว่า จำเลยที่ 4 ให้ข้อมูลในฐานะเลขาธิการองค์กรพิทักษ์พระพุทธศาสนากลุ่มพระสงฆ์ภาคใต้โดยมีจำเลยที่ 3 เป็นประธานองค์กรดังกล่าวพยานหลักฐานตามทางไต่สวนของโจทก์ จึงมีมูลพอที่จะประทับฟ้องไว้พิจารณาในฐานความผิดหมิ่นประมาทโดยการโฆษณาโดยนัดสอบคำให้การและตรวจหลักฐานในวันที่ 27 มี.ค.2560 เวลา 09.00 น.

ส่วนที่โจทก์ฟ้องในความผิดฐานข่มขืนใจให้จำยอมต่อสิ่งใด ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 309 นั้น ไม่ปรากฏจากทางไต่สวนของโจทก์ว่ากระทำตามฟ้องจำเลยทั้งสี่ที่แนะนำให้คณะสงฆ์ทั่วประเทศรวมถึงพุทธศาสนิกชนแจ้งความร้องทุกข์เป็นการข่มขืนใจให้โจทก์ต้องจำยอมต่อสิ่งใดอย่างไร ทั้งการแจ้งความร้องทุกข์เป็นสิทธิของบุคคลที่กระทำได้ หากบุคคลใดเห็นว่ามีการกระทำผิดอาญาเกิดขึ้น จึงยกฟ้องจำเลยทั้งสี่ฐานร่วมกันข่มขืนใจให้จำยอมต่อสิ่งใด