ซีพีเอฟทุ่ม3.8หมื่นล้านซื้อ'Bellisio'ธุรกิจอาหารแช่แข็งสหรัฐ

ซีพีเอฟทุ่ม3.8หมื่นล้านซื้อ'Bellisio'ธุรกิจอาหารแช่แข็งสหรัฐ

“ซีพีเอฟ”ทุ่มเกือบ 4 หมื่นล้านซื้อ “Bellisio”ธุรกิจผลิต-จำหน่ายอาหารแช่แข็งในสหรัฐ แหล่งเงินลงทุนใช้กระแสเงินสดของบริษัท

นางสาวพัชรา ชาติบัญชาชัย เลขานุการ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า บริษัทได้เข้าซื้อกิจการของ Bellisio Parent, LLC. จาก BellisioConsolidated Equity,LLC โดยบริษัทจะเข้าซื้อเงินลงทุนทั้งหมดใน Bellisio ในราคารวม 1,075 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 38,161 ล้านบาท 

ทั้งนี้มูลค่ารวมดังกล่าวอาจมีการเปลี่ยนแปลงจากการปรับปรุงด้วยตัวเลขตามบัญชีของกลุ่ม Bellisio ณ วันที่เข้าซื้อกิจการเสร็จสมบูรณ์ ตามสูตรการคำนวณที่ระบุไว้ใน SPA ซึ่งการเข้าซื้อกิจการในครั้งนี้ จะมีผลทำให้ Bellisio และบริษัทย่อยของ Bellisio มีสถานะเป็นบริษัทย่อยของบริษัท

Bellisio เริ่มดำเนินธุรกิจในสหรัฐครั้งแรกตั้งแต่ปี 2533 โดยเป็นผู้ผลติและจำหน่ายอาหารแช่แข็งพร้อมรับประทานประเภท Single Serve ซึ่งมีส่วนแบ่งการตลาดเป็นลำดับ 3 ในสหรัฐ ภายใต้ตราสินค้า ได้แก่ Michelina's ,Boston Market, Chilli's และ Atkins เป็นต้น รวมถึงอาหารเพื่อสุขภาพ ซึ่งมีจุดเด่นด้านคุณภาพและโภชนาการภายใต้ตราสินค้า EatingWell และEAT! ซึ่งกลุ่ม Bellisio เพิ่งวางจำหน่ายเมื่อเร็วๆ นี้

นอกจากนี้ Bellisio ยังเป็นผู้นำในตลาดอาหารแช่แข็งพร้อมรับประทานแบบ Single Serve ในประเทศแคนนาดา ปัจจุบัน Bellisio มี 4 โรงงาน ตั้งอยู่ในรัฐโอไฮโอ รัฐแคลิฟอร์เนีย และรัฐมินนิโซตา

สำหรับผลการดำเนินงานของ Bellisio ในปี 2558 ปรากฎว่า มียอดขาย 20,888 ล้านบาท ขณะมีผลขาดทุน 501 ล้านบาท มีสินทรัพย์รวม 16,049 ล้านบาท มีหนี้สินรวม 13,428 ล้านบาท และมีส่วนของผู้ถือหุ้น 2,801 ล้านบาท

ส่วนผลประโยชน์ที่บริษัทจะได้รับจากการลงทุนครั้งนี้ คือ 1. Bellisio จะเป็นฐานที่สำคัญของซีพีเอฟ ในการเข้าสู่ตลาดธุรกิจอาหารที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก เนื่องจากกลุ่ม Bellisio มีธุรกิจหลักที่แข็งแกร่ง และมีตราสินค้าซึ่งเป็นที่รู้จักกันทั่วไป  2.กลุ่ม Bellisio จะเป็นช่องทางให้กลุ่มซีพีเอฟ ส่งออกสินค้าเข้าสู่ทวีปอเมริกาเหนือได้ โดยใช้เครือข่ายการกระจายสินค้าที่มีอยู่ทั่วประเทศ และมีความสัมพันธ์อันดีกับผู้ค้าปลีกรายสำคัญของกลุ่ม Bellisio

3.กลุ่ม Bellisio และซีพีเอฟ สามารถใช้จุดแข็งของตน เพื่อผนึกศักยภาพในการดำเนินธุรกิจร่วมกัน เช่น การขยายช่องทางการจัดจำหน่ายไปสู่ผู้บริโภครายย่อย โดยใช้ความสัมพันธ์ที่ซีพีเอฟ มีกับผู้ค้าปลีก และการต่อยอดเข้าสู่ตลาดสินค้าและธุรกิจฟู้ดเซอร์วิสในกลุ่มอาหารเอเชีย ซึ่งซีพีเอฟ มีความเชี่ยวชาญ และมีเครือข่ายในเอเชีย และประเทศต่างๆ ทั่วโลก 

ส่วนแหล่งที่มาของเงินทุนในการซื้อกิจการในครั้งนี้ จะเป็นกระแสเงินสดภายในกลุ่มซีพีเอฟ

สำหรับการเคลื่อนไหวราคาหุ้นซีพีเอฟครึ่งเช้าวันนี้ (17พ.ย.) ปิดตลาดครึ่งวันเช้าที่ 28 บาท ลดลง 0.75 บาท หรือลดลง 2.61% มูลค่การซื้อขาย 819.31 ล้านบาท