ไฟเขียวคลังอัดงบ'1.86 หมื่นลบ.'กระตุ้นศก.ฐานราก

ไฟเขียวคลังอัดงบ'1.86 หมื่นลบ.'กระตุ้นศก.ฐานราก

"พ.อ.อธิสิทธิ์" เผย ครม.ไฟเขียวคลังอัดงบ 1.86 หมื่นลบ. กระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐ หวังช่วยประชาชน 74,655 หมู่บ้าน

พ.อ.อธิสิทธิ์ ไชยนุวัติ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันนี้ ว่า ที่ประชุม ครม.เห็นชอบตามกระทรวงการคลังเสนอโครงการยกระดับศักยภาพหมู่บ้าน เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐประจำปีงบประมาณ 2560 (ต.ค.59-ก.ย.60) และอนุมัติงบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น รวมวงเงิน 18,760 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นงบประมาณในลักษณะเงินอุดหนุนทั่วไปแก่หมู่บ้าน เพื่อกิจการอันเป็นสาธารณประโยชน์ 18,663.75 ล้านบาท และค่าดำเนินโครงการ ตามที่ได้รับการประสานงานกระทรวงมหาดไทย 96.25 ล้านบาท

ทั้งนี้ได้มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทย (กรมการปกครอง) ดำเนินโครงการและจัดตั้งคณะกรรมการระดับอำเภอในแต่ละพื้นที่ เพื่อพิจารณาอนุมัติโครงการและกรอบวงเงินให้แก่โครงการที่ผ่านการพิจารณาคัดเลือกจากประชาคมหมู่บ้านแล้ว และให้กระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ กรมบัญชีกลาง ร่วมกันจัดทำคู่มือการดำเนินโครงการ และให้กรมการปกครองดำเนินการกำกับดูแล ติดตามโครงการและรายงานสภาพปัญหาความคืบหน้าต่อ ครม.ทุกเดือน และให้กรมบัญชีกลางกำหนดหลักเกณฑ์วิธีปฏิบัติในการเบิกจ่ายเงินสำหรับโครงการให้เป็นไปโดยสะดวก รวดเร็วและถูกต้อง

สำหรับโครงการในปีงบประมาณ 2560 นั้น เพื่อพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งแก่ภูมิภาคผ่านโครงการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานของหมู่บ้าน หรือการดำเนินกิจการสาธารณประโยชน์ของหมู่บ้าน กลุ่มเป้าหมาย 74,655 หมู่บ้าน โดยใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบ 2560 งบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น 18,760 ล้านบาท ระยะเวลาในการดำเนินการได้เองให้เบิกจ่ายให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2559 ส่วนโครงการที่เป็นการจ้างเหมาให้ก่อหนี้ผูกพันให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2559

"นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการเพิ่มเติมว่า การดำเนินโครงการดังกล่าว ห้ามนำไปซื้อคุรุภัณฑ์เด็ดขาด เนื่องจากเม็ดเงินจะไม่กระจายไปสู่การจ้างงาน นอกจากนี้อะไรที่เป็นโครงการที่เป็นเงินงบประมาณประจำปีอย่าทำซ้ำซ้อน เช่น การซ่อมโรงเรียน อย่าไปทำอะไรที่ซ้ำซ้อนกับงบประมาณประจำปี ส่วนโครงการทำดำเนินการได้ อาทิเช่น เป็นเรื่องของลานตากมัน เนื่องจากไม่มีงบประมาณรองรับ เหมาะสม ให้พี่น้องเกษตรกร รวมถึงพี่น้องประชาชนสามารถต่อยอดเอาไปประกอบอาชีพ มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เป็นต้น" ผู้ช่วยโฆษกรัฐบาล กล่าว