สัปดาห์หน้าดัชนีแกว่งตัวกรอบแคบ

สัปดาห์หน้าดัชนีแกว่งตัวกรอบแคบ

โบรกฯ มองสัปดาห์หน้าดัชนีฯ มีโอกาสปรับ ‘ขึ้น-ลง’ อยู่ในกรอบจำกัด หากยังไร้ปัจจัยหนุนใหม่ๆ เข้ามา

วันนี้ (21 ต.ค.) ดัชนีตลาดหุ้นไทยปิดที่ 1,500.37 จุด เพิ่มขึ้น 7.64 จุด หรือ 0.51% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 48,371.22 ล้านบาท

หลักทรัพย์ที่มีการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับได้แก่ 1.BEM ปิดที่ 7.65 บาท เพิ่มขึ้น 0.30 บาท มูลค่าการซื้อขาย 3,158.03 ล้านบาท 2.BCPG ปิดที่ 14.30 บาท เพิ่มขึ้น 0.30 บาท มูลค่าการซื้อขาย 2,436.31 ล้านบาท 3.PTT ปิดที่ 352.00 บาท ลดลง -5.00 บาท มูลค่าการซื้อขาย 2,121.32 ล้านบาท 4.BANPU ปิดที่ 19.20 บาท ลดลง -0.30 บาท มูลค่าการซื้อขาย 1,914.86 ล้านบาท และ 5.KBANK ปิดที่ 176.50 บาท ลดลง -2.00 บาท มูลค่าการซื้อขาย 1,564.08 ล้านบาท

บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ระบุว่า คาดว่าสัปดาห์หน้าตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวในกรอบแคบ ซึ่งจะเป็นในแดนลบหรือบวกในกรอบจำกัด หากยังไร้ปัจจัยบวกใหม่ๆ เนื่องจากระดับดัชนี SET index กลับมาอยู่ในระดับเดิมก่อนที่ตลาดจะผันผวนในสัปดาห์ก่อน ฉะนั้น มูลค่าทางพื้นฐานถือว่าไม่ถูกแล้ว นักลงทุนจึงเน้นเก็งกำไรหุ้นรายตัวตามทิศทางผลประกอบการณ์ไตรมาส 3/2559 เป็นหลัก

ด้านแรงขายของนักลงทุนต่างชาติในสัปดาห์นี้ มองว่าเป็นประเด็นที่ต้องจับตามากขึ้น เนื่องจากปีนี้นักลงทุนต่างชาติเป็นกลุ่มหลักที่ผลักดันดัชนีฯ จากการซื้อสะสมสุทธิกว่า 1 แสนล้านบาท หากไม่มีปัจจัยใหม่ที่โดดเด่น หรือมีปัจจัยลบมากระทบ อาจจะเห็นแรงขายทำกำไรชัดเจนได้ อีกทั้งโดยปกติในเดือน ธ.ค. มันจะเป็นช่วงพักของนักลงทุนต่างชาติอีกด้วย

ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศ ยังคงต้องจับตาการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาในเดือนพ.ย. และท่าทีของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย โดยเฉพาะการประชุมในเดือย พ.ย. แม้เสียงคาดการณ์ของ Bloomberg concensus จะมีเพียง 17-18% ว่าเฟดมีโอกาสปรับขึ้นดอกเบี้ย แต่ต้องติดตามท่าทีของเฟดว่าจะส่งสัญญาณอย่างแข็งแกร่งมากขึ้นหรือไม่ ที่จะปรับขึ้นดอกเบี้ยในเดือน ธ.ค. เพราะหากท้ายที่สุดเฟดขึ้นดอกเบี้ยจริง เมื่อเทียบเคียงกับรอบล่าสุดที่ปรับขึ้นในเดือน ธ.ค. ปีก่อน

ด้านกลยุทธ์ แนะนำ ‘เก็งกำไรหุ้นรายตัว’ ในลักษณะขึ้นขาย-ลงซื้อ พร้อมกับประเมินแนวรับ 1,470 จุด แนวต้าน 1,510-1,520 จุด