ห่วงแรงงานไทย 'ทักษะการเงิน'ต่ำ

ห่วงแรงงานไทย 'ทักษะการเงิน'ต่ำ

ระดับหนี้ครัวเรือนที่มีอยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยในไตรมาส 3 ของปี 2557 หนี้ครัวเรือนของไทยเพิ่มขึ้นไปแตะระดับ 84.

ก่อนจะเริ่มลดลงมาจนล่าสุดไตรมาสแรกของปีนี้หนี้ครัวเรือนของไทยอยู่ที่ระดับ 81.1%  แม้จะเริ่มลดลงแล้วแต่ก็ยังเป็นระดับที่สูงเมื่อเทียบกับอีกหลายประเทศ

นางวีระอนงค์ จิระนคร ภู่ตระกูล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารซิตี้แบงก์ ในฐานะผู้แทนจากมูลนิธิซิตี้ กล่าวว่า  ในช่วง 3 ปีที่มูลนิธิซิตี้และสถาบันคีนันแห่งเอเซียดำเนินโครงการ “คนไทยก้าวไกล ใส่ใจการเงิน” พบว่าคนไทยยังมีทักษะทางการเงิน (Financial Literacy) ที่ถือเป็นหัวใจสำคัญของปัญหาหนี้สินคนไทย  ทำให้ประเทศไทยกำลังเผชิญความเสี่ยงจากภาระหนี้สินที่เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง สอดคล้องกับงานวิจัยของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุว่าความรู้ทางการเงินของคนไทยยังต่ำกว่าอีก 14 ประเทศที่มีระดับเศรษฐกิจที่เทียบเท่ากัน

ทางโครงการฯ จึงเริ่มทำการวิจัยค้นคว้าปัญหาหนี้สินและทางออกให้กับ 3 กลุ่มเสี่ยงหลัก ได้แก่ กลุ่มแรงงาน - กลุ่มเกษตรกร - กลุ่มนักเรียน นักศึกษา ที่พบว่าเป็นกลุ่มหลักมีทักษะทางการเงินในระดับต่ำ  โดยพบว่ากลุ่มแรงงานเป็น น่าห่วงที่สุด เพราะเป็นกลุ่มที่ใหญ่ที่สุด ซึ่งหากกลุ่มแรงงานมีปัญหาหนี้ในระดับสูง จะกระทบกับประสิทธิภาพการทำงานได้

อย่างไรก็ตามยังไม่มีหน่วยงานใดเป็นหลักเข้ามาสร้างทักษะทางการเงินให้กับกลุ่มแรงงาน ขณะที่กลุ่มนักเรียน นักศึกษาจะมีสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) พัฒนาเนื้อหาแทรกในหลักสูตรการเรียนการสอน ส่วนกลุ่มเกษตรกร จะมีธนาคารของรัฐให้ความรู้การจัดทำบัญชีครัวเรือน 

นายปิยะบุตร ชลวิจารณ์ ประธานอำนวยการสถาบันคีนันแห่งเอเซีย ระบุว่า หนี้ครัวเรือนของประเทศไทยอยู่ในระดับสูง  ส่วนหนึ่งเป็นผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการสร้างหนี้ของรัฐบาลในอดีต เป็นไฟที่สู้ไม่ไหว ซึ่งแนวโน้มหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีที่ลดลง แม้จะมองว่าเป็นสัญญาณที่ดี แต่ระดับที่เกิน 80%ต่อจีดีพีนี้ยังถือว่าเป็นระดับอันตราย  เทียบกับประเทศที่มีการบริหารจัดการที่ดีจะพบว่ามีสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีเพียง 40% เท่านั้น ดังนั้น เป้าหมายที่เราอยากเห็นคือการลดระดับหนี้ครัวเรือนลงให้ต่ำกว่า 50% ต่อจีดีพีให้ได้ จึงจะเป็นระดับที่ปลอดภัย 

ทั้งนี้กลุ่มแรงงานถือเป็นกลุ่มที่มีขนาดของปัญหาใหญ่ที่สุดและมีจำนวนมากที่สุดใน 3 กลุ่ม  โดยปัจจุบันประเทศไทยมีแรงงานวัยทำงานที่มีอายุระหว่าง 15-60 ปีอยู่กว่า 38.4 ล้านคน ขณะที่กลุ่มนักศึกษามีจำนวน 12.8 ล้านคน และกลุ่มเกษตรกรมี 7.9 ล้านครัวเรือน   โดยเฉพาะกลุ่มแรงงานในระบบที่ยังมีความรู้ทางการเงินน้อย แต่มีความสามารถในการเข้าถึงแหล่งเงินกู้เพราะมีรายได้ประจำ ซึ่งมีการกระตุ้นให้เป็นหนี้ผ่านสื่อโฆษณาต่าง ๆ  

“กลไกสำคัญคือนายจ้าง การให้บุคคลากรในองค์กรมีขวัญและกำลังใจที่ดี นอกจากจะให้เงินเดือนที่พอใช้แล้วต้องบอกวิธีการใช้เงินด้วย หรือกลุ่มสหภาพแรงงานที่พยายามเรียกร้องเรื่องการขึ้นเงินเดือน  แต่กลับไม่มีการสอนให้สมาชิกรู้ถึงการบริหารรายได้ที่ได้มา”

อย่างไรก็ตามนายปิยะบุตรระบุว่ากลุ่มที่น่าเป็นห่วงที่สุดและแก้ปัญหาได้ยากที่สุดในเร่ื่องการบริหารหนี้คือกลุ่มนักศึกษาที่มี 12.8 ล้านคน เพราะเป็นกลุ่มที่มีความต้องการในการบริโภคสูง และถูกยั่วยวนมากขึ้น ด้วยโฆษณาทั้งทางโทรทัศน์หรือมือถือ โดยเฉพาะช่องทางออนไลน์ และนำไปสู่การตัดสินใจซื้อสินค้าออนไลน์ โดยไม่มีการสอนการบริหารเงินในโรงเรียน ซึ่งอันตรายมาก เพราะเป็นกลุ่มที่ยังไม่มีรายได้เป็นของตัวเอง

ด้านนายวรานนท์ ปีติวรรณ รองปลัดกระทรวงแรงงานเปิดเผยว่ากลุ่มแรงงานในและนอกระบบทั่วประเทศ มีประมาณ 38.4 ล้านคนเป็นแรงงานนอกระบบ 23 ล้านคน กว่า83%ของแรงงานทั้งในและนอกระบบมีความรู้ทางการเงินอยู่ในระดับกลางและต่ำนอกจากนี้กลุ่มแรงงานยุคใหม่ที่มีอายุระหว่าง 25 - 35 ปี มีอัตราการก่อหนี้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ตลอดจนความสะดวกในการเข้าถึงบริการทางการเงิน ทำให้แรงงานยังประสบปัญหาด้านการชำระหนี้ ถึงแม้ว่าแรงงานจะเป็นกลุ่มที่มีรายได้ค่อนข้างมั่นคงเมื่อเทียบกับกลุ่มเกษตรกร

 ด้วยเหตุนี้ทางจึงเป็นเหตุให้โครงการฯ ร่วมมือกับกระทรวงแรงงานพัฒนาแอพพลิเคชั่น "ฉลาดคิด เรื่องเงิน” ซึ่งเป็นหนึ่งในวิธีสร้างการเรียนรู้ในรูปแบบออนไลน์ เทรนนิ่ง   โดยแอพพลิเคชั่นดังกล่าวมีสาระสำคัญ 2 ส่วน คือ 1. ฉลาดคิดเรื่องเงิน ชุดความรู้การบริหารการเงินส่วนบุคคล แบบทดสอบ ตลอดจนเครื่องคำนวณทางการเงิน ภายใต้ 4 โมดูลย่อย ได้แก่ 1) การตั้งเป้าหมายทางการเงิน 2) การออมอย่างมีประสิทธิภาพ 3) การใช้จ่าย 4) การบริหารหนี้2. เกมครอบครัวหรรษาซึ่งออกแบบตัวละครให้สอดคล้องกับสภาพชีวิตจริงแรงงาน ที่ต้องมีค่าใช้จ่ายต่างๆ ในชีวิตประจำวัน อาทิ การซื้อหวย ซื้อประกัน ทำงานโอที เจ็บป่วย อุบัติเหตุ ฯลฯ ซึ่งผู้สนใจสามารถดาวน์โหลดได้ทั้ง Google Play และ App Store

ทั้งนี้ทางกระทรวงคาดหวังว่าในเบื้องต้นจะมีผู้ดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นดังกล่าวมาใช้มากกว่า 1,000 ครั้ง และจะใช้ช่องทางของกระทรวงแรงงานเพื่อเข้าถึงกลุ่มแรงงานมากขึ้น และหวังว่าจะช่วยเพิ่มความรู้และทักษะด้านการเงินที่กลุ่มแรงงานยุคใหม่สามารถปรับใช้ในชีวิตประจำวัน ปลูกฝังพฤติกรรมการบริหารจัดการการเงินที่ดีอย่างยั่งยืนต่อไป