กองทุนขายหุ้น กดดัชนีดิ่ง47จุด

กองทุนขายหุ้น กดดัชนีดิ่ง47จุด

ปัจจัยภายใน-นอกประเทศ กดดันหุ้นไทย ปิดตลาดร่วงเฉียด 50 จุด กองทุนในประเทศถล่มขายหนักกว่า 7.2 พันล้าน เงินบาทร่วงอ่อนค่าสุดรอบ 3 เดือน

การเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทย วานนี้ (10 ต.ค.) ดัชนีปรับตัวลดลงรุนแรงตั้งแต่ช่วงเปิดตลาดภาคเช้า โดยเปิดตลาดที่ 1,453.33 จุด ลดลง 51.01 จุด หลังจากนั้นดัชนีแกว่งตัวในแดนลบตลอดทั้งวัน มีจุดต่ำสุดที่ 1,450.87 จุด และจุดสูงสุดที่ 1,470.84 จุด ก่อนมาปิดตลาดที่ระดับ 1,457.02 จุด ลดลง 47.32 จุด คิดเป็นการลดลง 3.15% มูลค่าการซื้อขายรวม 74,142.56 ล้านบาท

สำหรับนักลงทุนสถาบันในประเทศเป็นกลุ่มที่มีแรงขายออกมามากสุด โดยขายสุทธิถึง 7,268.24 ล้านบาท รองลงมาได้แก่ พอร์ตบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ ขายสุทธิ 627.33 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 998.74 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 6,896.83 ล้านบาท

ส่วนค่าเงินบาท วานนี้เปิดตลาดอ่อนค่าลงทันที จนหลุดแนวรับที่ระดับ 35 บาทต่อดอลลาร์ มาปิดตลาดที่ระดับ 35.06 บาทต่อดอลลาร์ เป็นระดับอ่อนค่าสุดในรอบ 2 เดือน ขณะที่ตลาดตราสารหนี้(บอนด์) มีแรงขายสุทธิจากผู้ลงทุนต่างชาติประมาณ 11,617 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นการขายในตราสารระยะสั้น

นายเผดิมภพ สงเคราะห์ กรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการเงินทุนส่วนบุคคล บริษัทหลักทรัพย์(บล.) กสิกรไทย กล่าวว่า ดัชนีตลาดหุ้นวานนี้ ได้รับผล กระทบจากปัจจัยในประเทศ โดยดัชนีหุ้นไทยปัจจุบันถือว่าอยู่ระดับที่สูง เมื่อมีปัจจัยอะไรเข้ามากระทบก็พร้อมที่จะปรับลดลงแรง

“เรามองว่า ไม่ว่าจะมีเหตุการณ์อะไรกระทบตลาดหุ้นไทยดัชนีจะปรับตัวลดลงไม่เกิน 1,335 จุด ซึ่งมีระดับ พี/อี(ราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้น) คาดการณ์ล่วงหน้าที่ 13 เท่า ซึ่งเป็นกรอบล่างของตลาดหุ้นไทยในอดีต”

ทั้งนี้การปรับตัวลดลงมาของตลาดหุ้นไทยถือว่าเป็นจุดที่น่าสนใจเข้าซื้อเพราะหากพิจารณาการเติบโตของเศรษฐกิจไทยออกมาดีกว่าคาด โดยกรอบการซื้อขายของตลาดหุ้นไทยในปีนี้ถึงปีหน้าจะอยู่ที่ 1,335 จุดถึง 1,540 จุด เพิ่มการลงทุนในหุ้นจาก 20% เป็น 40%

โดยแนะนำให้นักลงทุนเข้าสะสมหุ้นหากดัชนีเข้าใกล้กรอบล่างของรอบนี้ ทั้งนี้ กลุ่มที่น่าสนใจลงทุนคือกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากดอกเบี้ยขาขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มประกัน และกลุ่มธนาคาร และกลุ่มที่พึ่งพิงการบริโภคในประเทศ รวมถึงกลุ่มส่งออก

นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ ผู้ช่วยกรรมการอำนวยการ สายงานวิจัยลูกค้าบุคคล บล.บัวหลวง กล่าวว่า ตลาดหุ้นโดนเทขายอย่างหนักในช่วงเปิดการซื้อขาย ซึ่งเป็นแนวทางที่ไม่ดีนักของตลาดหุ้นไทย ทำให้แนวโน้มวันนี้ (11 ต.ค.) มีความเสี่ยงที่จะปรับลดลงต่อเนื่อง

โดยวันนี้ กรณีเลวร้ายที่สุด มองว่าดัชนียังมีโอกาสปรับตัวลดลงไปได้อีก 20-25 จุด ซึ่งระหว่างวันอาจมีการฟื้นตัวได้ โดยแนวโน้มของตลาดหุ้นไทยยังมีทิศทางที่ไม่ดีนัก ดังนั้นนักลงทุนควรติดตามสถานการณ์การลงทุนอย่างใกล้ชิด

อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาตามสถิติ ปัจจุบันตลาดหุ้นไทยซื้อขายที่ระดับพี/อี ที่ระดับ 15 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ 13 เท่า จึงมีโอกาสที่ดัชนีอาจปรับตัวลดลงในระดับ 10 % แนวรับปัจจุบันอยู่ที่ 1,467 จุด หากวันนี้ไม่สามารถปิดการซื้อขายที่เหนือกว่า 1,467 จุด ก็มีโอกาสที่ดัชนีจะปรับตัวลดลงไปทดสอบแนวรับที่ 1,350-1,380 จุด ดังนั้นนักลงทุนควรพิจารณาการปรับพอร์ต หากหลักทรัพย์ใดที่ยังมีปัจจัยพื้นฐานดีให้ถือต่อแต่หากมีหลักทรัพย์ที่เต็มมูลค่าควรพิจารณาปรับลด เพื่อลดผลกระทบจากความผันผวน

ดัชนีเชื่อมั่นลงทุนต.ค.ร่วง 26%

นายคเณศ วังส์ไพจิตร ผู้อำนวยการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย กล่าวว่า ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน ประจำเดือนต.ค. ลดลงมาอยู่ที่ 103.84 จุด หรือลดลง 26.19 % เป็นการปรับลดลงในทุกกลุ่ม นักลงทุนต่างชาติมีความเชื่อมั่นลดลงมากที่สุดมาอยู่ที่ 100 จุด หรือลดลง 36.36 % ส่วนนักลงทุนรายบุคคล อยู่ที่ 103.31 จุด หรือลดลง 25.50 % และสถาบันในประเทศอยู่ที่ 112.00 จุด หรือลดลง 13.45 %

โดยปัจจัยที่นักลงทุนมองว่าเป็นปัจจัยบวก คือ การไหลเข้าและไหลออกเป็นปัจจัยหนุนตลาดทุน ขณะที่นักลงทุนสถาบันรวมถึงนักลงทุนต่างประเทศ มองว่า นโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีผลต่อตลาดทุนมากที่สุด

ส่วนปัจจัยฉุดรั้ง นักลงทุนรายบุคคล มองว่า นโยบายทางการเงินของเฟดจะสร้างความผันผวนมากที่สุด รองลงมาคือสถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศ นักลงทุนสถาบันในประเทศ มองว่า นโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ และสถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศน่ากังวลมากที่สุด ส่วนนักลงทุนต่างชาติ มองว่า สถานการณ์ทางการเมืองอาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นเชิงลบกับตลาดหุ้นไทย

หมวดอุตสาหกรรมที่น่าสนใจลงทุนนั้น นักลงทุนรายบุคคลมองว่า กลุ่มท่องเที่ยว และกลุ่มอาหารเครื่องดื่มน่าสนใจมากที่สุด กลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศมองว่ากลุ่มธนาคาร และกลุ่มเทคโนโลยี น่าสนใจลงทุนมากที่สุด และกลุ่มนักลงทุนต่างชาติ มองว่ากลุ่มรับเหมาก่อสร้าง และกลุ่มหมวดการแพทย์ น่าสนใจลงทุนที่สุด

ส่วนหมวดที่ไม่น่าสนใจลงทุนนั้น นักลงทุนรายบุคคล มองว่า กลุ่มเหมืองแร่ และกลุ่มแฟชั่นไม่น่าสนใจมากที่สุด กลุ่มนักลงทุนสถาบันมองว่ากลุ่มเล็ก และกลุ่มพลังงานไม่น่าสนใจมากที่สุด และนักลงทุนต่างชาติ มองว่ากลุ่มพลังงานและสาธารณูปโภค ไม่น่าสนใจลงทุนที่สุด

นายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่าการที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยร่วงแรงน่าจะเกิดจากปัจจัยทางจิตวิทยาที่มีผลเกี่ยวกับการลงทุนอื่น ๆ ไม่เกี่ยวกับปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ เพราะตัวเลขเศรษฐกิจหลาย ๆ ตัวมีการฟื้นตัวดีขึ้นต่อเนื่อง โดยทั้งปีนี้ จีดีพีโตได้มากกว่า 3.3% แน่นอน

บาทอ่อนรอบกว่า 2 เดือนทะลุ 35

นายจิติพล พฤกษาเมธานันท์ รองผู้อำนวยการ ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ธนาคารทหารไทย (ทีเอ็มบี) กล่าวว่า เงินบาทวานนี้ อ่อนค่าลงค่อนข้างมากโดยช่วงเช้าเปิดตลาดที่ 34.95 บาทต่อดอลลาร์ ก่อนจะมาปิดตลาดที่ราวๆ 35.06 บาทต่อดอลลาร์ ส่วนหนึ่งเป็นผลจากแรงขายของนักลงทุนต่างชาติที่ออกมาในตลาดบอนด์

วานนี้ต่างชาติขายบอนด์ 11,617 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นแรงขายในพันธบัตรอายุ ต่ำกว่า 1 ปีลงมา อย่างไรก็ตามแม้ผู้ลงทุนต่างชาติจะเทขายออกมาค่อนข้างมา แต่ก็มีนักลงทุนสถาบันในประเทศเข้ามาซื้อ จึงทำให้ผลตอบแทน (ยีลด์) ไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก

สาเหตุที่เงินบาทอ่อนค่าลงในวานนี้ เป็นผลจากทั้งปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ โดยปัจจัยภายนอกเป็นประเทศ เป็นสถานการณ์ที่คนกังวลมาก ความเป็นไปได้ที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในเดือนธ.ค.มีความชัดเจนมากขึ้น

สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาทระยะสั้นช่วง 1-2 สัปดาห์นี้ คาดว่าความผันผวนน่าจะมีเพิ่มมากขึ้น โดยกรอบการเคลื่อนไหวที่มองไว้อยู่ในระดับ 34.85-35.25 บาทต่อดอลลาร์