เสนาฯ ชี้อสังหาฯปี 60 แข่งเดือด รายใหญ่โดดร่วมลงทุน

เสนาฯ ชี้อสังหาฯปี 60 แข่งเดือด รายใหญ่โดดร่วมลงทุน

เสนาฯ ประเมินอสังหาฯปีหน้าแข่งเดือด ธุรกิจรายใหญ่โดดร่วมวง เหตุให้ผลตอบแทนสูง -ภาษีที่ดินฯ บีบเจ้าของที่ดินพัฒนา-ขาย คายพื้นที่สู่ตลาด

นางสาวเกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์หลังจากนี้ ยังคงเป็นตลาดที่มีการแข่งขันสูง จากจำนวนผู้ประกอบการรายใหม่ที่มีขนาดใหญ่จากธุรกิจอื่น เข้ามาแข่งขันในตลาดมากขึ้น เนื่องจากเป็นธุรกิจที่ให้ผลตอบแทนการลงทุนสูง แต่ยังสามารถเติบโตได้ต่อเนื่อง หากไม่มีปัจจัยกดดันใดมากระทบ  แต่ในส่วนของการยอดปฏิเสธสินเชื่อมองว่าน่าจะยังทรงตัวอยู่ในระดับ 10%  ซึ่งต้องให้หนี้จากโครงการรถคันแรกหมดไปก่อน แต่คาดว่าจะดีขึ้นกว่าปีนี้

ทั้งนี้ แผนการลงทุนในปี2560 ขณะนี้อยู่ระหว่างวางแผน โดยเบื้องต้นจะมีจำนวนโครงการเปิดใหม่ใกล้เคียงกับปีนี้ แต่จะมีมูลค่าโครงการมากกว่า 8,000 ล้านบาท เนื่องจากมีโครงการขนาดใหญ่มากขึ้น ส่วนสินค้าจะมีทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ และคอนโดมิเนียม ทุกระดับราคา แต่จะให้ความสำคัญกับตลาดระดับกลาง-บน ซึ่งทุกโครงการที่จะเปิดขายในปี 2560 จะเป็นโครงการที่ติดแผงโซลาร์เซลล์ทั้งหมด 

อีกทั้งปีหน้า บริษัทได้วางแผนการพัฒนาไปต่างจังหวัด โดยจะมีโครงการคอนโดมิเนียมที่ศรีราชา จ.ชลบุรี  รองรับนักลงทุนชาวญี่ปุ่นที่นิยมอยู่อาศัยในทำเลดังกล่าว และมองว่าโซนตะวันออกเป็นทำเลที่มีแนวโน้มเติบโต หลังจากรัฐบาลขยายลงทุนด้านสาธารณูปโภคการคมนาคม การจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก และส่งเสริมการลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมภาคตะวันออก  

ล่าสุด บริษัทเปิดโครงการ เดอะคิทท์ พลัส สุขุมวิท 113 เฟสแรก จำนวน 400 ยูนิต มูลค่าโครงการ 550 ล้านบาท โดยโครงการดังกล่าวเริ่มเปิดขายเมื่อช่วง ก.ค. ที่ผ่านมา ปัจจุบันมียอดขายแล้วกว่า 85% หรือประมาณ 380 ยูนิต อีกทั้งบริษัทเตรียมเปิดขายเฟส 2 อีก 400 ยูนิต ซึ่งคาดว่าจะเปิดขายในช่วงม.ค.-ก.พ. ปีหน้า เพื่อตอบรับความต้องการของตลาดในย่านนี้ เพราะเป็นทำเลที่ผู้ให้ความสนใจมาก เพราะโครงการห่างจากรถไฟฟ้าสายสีเขียวสถานีวัดด่านเพียง 400 เมตร และโครงการมีแผงโซลาร์ที่ช่วยลดค่าไฟ ในราคาเริ่มต้น 1.2 ล้านบาท ขนาดห้อง 28 ตร.ม.

ขณะที่ผลการดำเนินงาน บริษัทมั่นใจว่ายอดขายทำได้ตามเป้าหมาย 4,500  ล้านบาท โดย 9 เดือนที่ผ่านมาบริษัททำยอดขายได้แล้ว 4,000 ล้านบาท ซึ่งในช่วงไตรมาส 4 บริษัทเตรียมเปิดโครงการใหม่อีก 2 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 1,440 ล้านบาท ได้แก่ โครงการเดอะคิทท์ ไลฟ์ บางกะดี เฟส 2 มูลค่า 310 ล้านบาท และโครงการเดอะนิช โมโน สุขุมวิท 50 มูลค่า 1,130 ล้านบาท  ขณะที่รายได้ คาดทำได้ตามเป้า 3,500 ล้านบาท หรือเติบโต 20% จากปีก่อน โดยในช่วงที่เหลือของปีนี้บริษัทยังมีมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) ที่รอรับรู้รายได้อีก 1,000  ล้านบาท จากแบ็กล็อคทั้งหมด 3,000ล้านบาท ซึ่งส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้ไนปี 2560 ทั้งหมด

ส่วนผลกระทบของมูลค่าหุ้นของธนาคารดอยแบงก์ที่ลดลงอย่างมาก และการที่ต้องจ่ายค่าปรับให้กับสหรัฐฯ มูลค่า 1.4 หมื่นล้านดอลาร์ ซึ่งธนาคารดอยแบงก์มีโอสกาสเข้าข่ายล้มละลาย โดยหากธนาคารดอยแบงก์ล้มละลายจริงจะมีผลกระทบเชิงลบต่อภาคอสังหาริมทรัพย์ไทยบ้างเล็กน้อย ในแง่ความมั่นใจของนักลงทุนที่ได้ซื้อโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนไปก่อนหน้าอาจจะยกเลิกการซื้อ เพราะไม่มั่นใจในเรื่องของศักยภาพของตัวเองในอนาคต โดยในกรณีนี้โครงการที่จะได้รับผลส่วนใหญ่จะเป็นโครงการระดับบนที่เป็นกลุ่มนักลงทุนซื้อส่วนใหญ่ ซึ่งประเด็นดังกล่าวยังเป็นประเด็นที่ต้องติดตาม เพราะส่งผลกระทบต่อการลงทุนของนักลงทุนทั้งหมด