"ทีเอสเอฟ" ผุดร้านมัลติแบรนด์ ย้ำผู้นำเครื่องสำอางเกาหลี

"ทีเอสเอฟ" ผุดร้านมัลติแบรนด์ ย้ำผู้นำเครื่องสำอางเกาหลี

"ทีเอสเอฟ" ผุดร้านมัลติแบรนด์ ย้ำผู้นำเครื่องสำอางเกาหลี

นายพิธาน องค์โฆษิต ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ทีเอฟเอส (ไทยแลนด์) จำกัด ผู้จัดจำหน่ายเดอะเฟสชอป เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมนำเข้าเครื่องสำอางแบรนด์เกาหลี ในเครือแอลจี เข้ามาทำตลาดเพิ่มเติมอีก 6 แบรนด์ พร้อมเปิดช็อปใหม่ภายใต้โมเดลมัลติแบรนด์ ในชื่อ "Nature Collection" ซึ่งจะเปิดตัวภายในปีนี้สาขาสีลมคอมเพล็กซ์ โดยสินค้าที่นำเข้ามาจะมีทั้งเวชสำอาง และสินค้าที่เกี่ยวกับการดูแลผิวพรรณ (สกินแคร์) มากขึ้น ขณะเดียวกันจะช่วยเอื้อต่อการทำตลาดเครื่องสำอางของบริษัทให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายและตลาด ตั้งแต่ระดับกลางจนถึงพรีเมี่ยม

 
ส่วนการขยายธุรกิจเครื่องสำอางเดอะ เฟสชอป ในปีนี้ ได้ปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์แบรนด์ใหม่ให้พรีเมี่ยมากขึ้น และปรับโลโก้ใหม่ และสินค้าภายในก็ใช้วัตถุดิบจากยุโรป สอดคล้องกับนโยบายเดอะ เฟสชอปที่เกาหลี รวมทั้งการเปิดสาขาหรือช็อปใหม่ของเดอะ เฟสชอป ก็จะมีความเป็นพรีเมี่ยมมากขึ้น โดยราคาขายสินค้ายังคงแมสเช่นเดิมเฉลี่ย 500-800 บาทแนวทางดังกล่าว เพื่อสร้างความแตกต่างให้กับแบรนด์ จากภาพรวมตลาดเครื่องสำอางเกาหลีส่วนใหญ่นำเสนอภาพลักษณ์แบรนด์ด้วยธรรมชาติ ทำให้ไม่เกิดความแตกต่างกันเลย และปีหน้าบริษัทจะมีการใช้พรีเซ็นเตอร์คนไทยเพื่อสร้างแบรนด์และทำตลาดด้วย


นอกจากนี้ บริษัทเตรียมงบลงทุน 50 ล้านบาท เพื่อขยายสาขาเดอะ เฟสชอปให้ครบ 100 แห่ง ภายในปีหน้า จากปัจจุบันมี 57 สาขา และปีนี้ใช้งบลงทุน 100 ล้านบาท แบ่งเป็นใช้งบ 20 ล้านบาท เพื่อขยายสาขาใหม่ 13 แห่งในครุ่งปีหลังสิ้นปีนี้ โดยการเปิดสาขาจะมุ่งไปยังปริมณฑลและต่างจังหวัดมากขึ้น และ 40 ล้านบาท จะใช้ในการทำตลาดและประชาสัมพันธ์

พร้อมกันนีเบริษัทยังเน้นนำสินค้าใหม่เข้ามาทำตลาดอย่างต่อเนื่อง เฉลี่ยเดือนละ 1 รายการ ล่าสุด เปิดตัวเดอะ เทอราพี เฟิร์ส เซรั่ม ซึ่งมียอดขายดีมากในเกาหลีและเป็นสินค้าไฮไลท์ของเดอะ เฟสชอปปีนี้ และบริษัทตั้งเป้ายอดขายไม่ต่ำกว่า 20,000 ขวดใน 1 ปี 


"ภายใน 2 ปี บริษัทตั้งเป้าหมายยอดขาย 1,000 ล้านบาท จากปีนี้ที่คาดว่าจะปิดยอดขาย 500 ล้านบาท เติบโต 200% จากปีก่อน แม้เศรษฐกิจกำลังซื้อผู้บริโภคยังไม่ดีนัก แต่การเติบโตของเรายังดี เนื่องจากนโยบายตั้งแต่แรกที่เราซื้อกิจการต่อจากผู้บริหารเดิม ก็ได้คุยกับทางแอลจี เฮ้าส์โฮลด์ เพื่อทำราคาขายให้คนซื้อง่าย โดยราคาสินค้าเดอะ เฟสชอปในไทยถูกกว่าเกาหลี 5% ทำให้ไม่มีการหิ้วเข้ามามากนัก และเราก็มองการขายที่วอลุ่มหรือปริมาณ เมื่อได้วอลุ่มมากๆ กำไรก็จะตามมา ขณะที่ยอดซื้อสินค้าต่อบิลมากกว่า 1,000 บาท"


นอกจากนี้ บริษัทได้หารือกับแอลจีเฮ้าส์ โฮลด์ซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์ในการทำตลาดอาเซียน ประเดิมตลาดแรกที่ลาวปลายปีนี้ ซึ่งการที่ทีเอสเอฟ ได้รับสิทธิ์ในการขยายตลาดประเทศเพื่อนบ้าน เนื่องจากไทยสามารถสร้างผลการดำเนินงานที่ดี และสูงสุดในภูมิภาค โตเป็น 100% ขณะที่เวียดนาม สิงคโปร์ มาเลเซีย เติบโตเพียง 10-20% เท่านั้น


"เราได้หารือกับประธานแอลจี เฮ้าส์โฮลด์ในการขยายธุรกิจเครื่องสำอางในไทย ซึ่งเขาต้องการเติบโต 10 เท่าต่อเนื่อง จากครั้งแรกเมื่อปี 2557 เราสามารถสร้างการเติบโตให้ได้ 10 เท่าแล้ว"


สำหรับภาพรวมตลาดเครื่องสำอางในประเทศไทย มีมูลค่า 2.5 แสนล้านบาท มีการเติบโต 2-3% เท่านั้น โดยตลาดแบ่งเป็นช่องทางร้านค้าสมัยใหม่และร้านค้าทั่วไปสัดส่วน 60-70% ที่เหลือ เป็นเคาน์เตอร์แบรนด์และร้านเดี่ยว(สแตนอะโลน) และขายตรง ขณะที่ตลาดนำเข้าเครื่องสำอางจากต่างประเทศมีสัดส่วน 30-40% โดยแบรนด์เกาหบีมีสัดส่วนราว 5-10% เท่านั้น แต่ก็เป็นตลาดที่มีการเติบโตสูงมาก 50-100% เนื่องจากราคาต่ำกว่าเคาน์เตอร์แบรนด์ และแต่ละแบรนด์มีการทำตลาด จัดโปรโมชั่นแข่งขันกันรุนแรงมาก