เตรียมผุดศูนย์สุขภาพครบวงจร หลังทุ่มซื้อปาร์คนายเลิศ

เตรียมผุดศูนย์สุขภาพครบวงจร หลังทุ่มซื้อปาร์คนายเลิศ

"กลุ่มรพ.กรุงเทพ" ทุ่ม 1.28 หมื่นลบ. ซื้อ "ปาร์คนายเลิศ" แปลงโฉมเป็นศูนย์สุขภาพครบวงจรแห่งแรกในเอเชีย รับเทรนด์ใหญ่ “เมดิเคิล ทัวร์ลิสซึ่ม”

นางนฤมล น้อยอ่ำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) BDMS ซึ่งเป็นเจ้าของรพ.กรุงเทพและมีเครือข่ายที่ใหญ่สุดของไทย เปิดเผยว่า คณะกรรมการบริษัทได้อนุมัติใช้เงินลงทุนรวม 12,800 ล้านบาท เข้าทำสัญญาซื้อที่ดินบริเวณโครงการปาร์คนายเลิศประมาณ 15 ไร่ และสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินรวมมูลค่าประมาณ 10,800 ล้านบาท ประกอบไปด้วยโรงแรมสวิสโฮเต็ล ปาร์คนายเลิศ และอาคารสำนักงาน Promenade โดยคาดว่าจะรับโอนได้ใน ไตรมาส 2 ปี 2560

หลังรับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างจะใช้งบประมาณลงทุนและปรับปรุงทรัพย์สินเพื่อใช้ในการประกอบธุรกิจสุขภาพแบบครบวงจร ภายใต้ชื่อ BDMS Wellness Clinic งบลงทุน 2,000 ล้านบาท

บริษัทระบุว่า ศูนย์สุขภาพครบวงจรแห่งนี้จะประสบความสำเร็จเนื่องจาก แนวคิดด้านการดูแลรักษาสุขภาพและความเป็นอยู่ได้รับความสนใจมากขึ้นทั่วโลกในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และที่ผ่านมา มีผู้ประกอบการน้อยรายในโลกที่ให้บริการศูนย์สุขภาพแบบครบวงจร สถาบันที่มีชื่อเสียงล้วนอยู่ในยุโรปหรือสหรัฐอเมริกา โครงการนี้ของบริษัทจึงเป็นโครงการแรกที่เกิดขึ้นในเอเชีย

นอกจากนี้ ที่ดินผืนดังกล่าวเป็นพื้นที่สีเขียวที่โดดเด่นท่ามกลางศูนย์รวมความเจริญสมัยใหม่ในย่านธุรกิจของกรุงเทพ และมีคุณสมบัติครบถ้วนที่จะนำมาพัฒนาเป็นศูนย์สุขภาพครบวงจร

ขณะเดียวกัน ในโครงการนี้จะมีบริการด้านเวชศาสตร์ชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพ รวมถึงบริการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยบริษัทจะขยายศูนย์เวชศาสตร์ชะลอวัยซึ่งปัจจุบันเปิดให้บริการอยู่ที่โรงพยาบาลกรุงเทพ มาให้บริการเพิ่มเติมในโครงการนี้ รวมถึงบริการทางด้านสุขภาพระบบประสาทและสมอง

โบรกฯชี้ระยะยาวส่งผลดีธุรกิจ

นางสาวอภิชญา เกตุรัตนบวร นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) กล่าวว่า มีมุมมองเป็นบวกต่อภาพระยะยาวของการลงทุนในครั้งนี้ แม้ระยะสั้นน่าจะถูกกดดันจากภาระดอกเบี้ยจ่ายที่เพิ่มขึ้น โดยบริษัทมีแผนจะออกหุ้นกู้ช่วงไตรมาส 1 / 2560 วงเงินยังอยู่ระหว่างพิจารณา แต่คาดว่าจะอยู่ที่ราว 8,000-9,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย 3% ต่อปี บริษัทมีแผนจะใช้กระแสเงินสดลงทุนราว 1,000-2,000 ล้านบาท

“ระยะสั้นนักลงทุนบางส่วนอาจจะกังวลต่อการลงทุนในครั้งนี้ ส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวลดลง โดยความเสี่ยงสำคัญของโครงการนี้คือความสามารถของบริษัทที่จะหาลูกค้าในระดับไฮเอนด์มากๆ เข้ามาใช้บริการ โดยบริษัทตั้งเป้าลูกค้าในประเทศเพียง 20% แต่หากสามารถทำได้เชื่อว่าจะช่วยผลักดันรายได้และมาร์จินให้ดีขึ้น ซึ่งในเบื้องต้นบริษัทคาดว่าโครงการนี้จะมีราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้น หลังหักค่าเสื่อมหรืออีบิทด้า มาร์จิน ไม่ต่ำกว่า 30% สูงกว่าปัจจุบันซึ่งอยู่ที่ 25%”

ทั้งนี้ บริษัทประเมินว่าอีบิทด้าจะพลิกเป็นบวกได้ใน 2 ปี และอัตรากำไรสุทธิจะเป็นบวกได้ใน 3 ปี โดยคาดผลตอบแทนจากโครงการ (Project IRR) 14.5% คาดว่าจะเปิดให้บริการผู้ป่วยนอก (OPD) ได้ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2560 ส่วนผู้ป่วยในจะเปิดได้ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2560 ส่วนจำนวนห้องพักสำหรับผู้ป่วยในคาดว่าจะอยู่ที่ราว 100-200 ห้อง โดยจะใช้การปรับปรุงห้องพักโรงแรมที่มีอยู่ 380 ห้อง

คาด3 ปี ถึงจุดคุ้มทุน

นายดนัย ตุลยาพิศิษฐ์ชัย ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ในระยะสั้นการลงทุนดังกล่าวน่าจะกระทบต่อกำไรสุทธิของบริษัทปีละประมาณ 300-400 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทต้องใช้เงินกู้จากสถาบันการเงิน จึงมีภาระดอกเบี้ยเกิดขึ้น โดยผลกระทบดังกล่าวประเมินบนสมมติฐานอัตราดอกเบี้ย 3-4%

อย่างไรก็ตาม ในระยะยาวเชื่อว่าการลงทุนดังกล่าวจะส่งผลบวก และให้ผลตอบแทนกลับมาได้ ซึ่งบริษัทประเมินในเบื้องต้นว่าน่าจะถึงจุดคุ้มทุนใน 3 ปี ขณะที่ระยะเวลาในการคืนหนี้เงินกู้ คาดว่าจะใช้เวลา 9 ปี

“แม้การลงทุนในครั้งนี้จะค่อนข้างสูง แต่ก็เป็นการลงทุนอย่างหนึ่งที่เหมือนการลงทุนโดยปกติ ซึ่งในระยะแยกอาจจะกระทบต่อผลการดำเนินงาน แต่ระยะยาวก็น่าจะให้ผลตอบแทนกลับมา และการได้พื้นที่ใจกลางเมืองเข้ามาก็เป็นถือเป็นปัจจัยบวกในเรื่องของทำเล”

ทั้งนี้ เงินลงทุนครั้งนี้จะมาจากเงินสดของบริษัท เงินกู้จากธนาคาร และอาจจะพิจารณาขายหุ้นกู้หรือหุ้นกู้แปลงสภาพ

ประเมินใช้เงินกู้ 1 หมื่นล้าน

ด้าน บล.เอเซียพลัส คาดว่า ซึ่งคาดว่าบริษัทจำเป็นที่จะต้องกู้เงินจากสถาบันการเงินเพิ่มขึ้นอีกกว่า 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งน่าจะมีผลต่อการปรับลดประมาณการและราคาพื้นฐานที่ให้ไว้ จาก 27 บาท มาอยู่ที่ 25.5 บาท เบื้องต้นคาดว่าจะทำให้การเติบโตของกำไรสุทธิต่อหุ้น ปี 2560 ลดลงจาก 14.11% เหลือ 8.38%

ขณะที่ บล.บัวหลวง กล่าวว่า ตลาดน่าจะมีมุมมองเป็นลบเล็กน้อยต่อการลงทุนในครั้งนี้ เหตุกังวลต่อค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยที่เกิดขึ้น และอัตรากำไรที่ก่อนหน้านี้คาดหวังว่าจะเริ่มดีขึ้น อาจถูกโครงการใหม่นี้กดดันไปจนกว่าจะเปิดดำเนินการได้จนอัตราการเข้าใช้บริการคงที่

กสิกรไทยชี้สอดรับเมดิเคิล ทัวร์ลิสซึ่ม

ด้านนางสาวณัฐพร ตรีรัตน์ศิริกุล ผู้บริหารงานวิจัยบริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทยจำกัด กล่าวว่า กรณีที่บริษัทกรุงเทพดุสิตเวชการจะทำศูนย์สุขภาพนั้น สอดรับกับ เทรนด์สุขภาพ ซึ่งถือเป็นเซคเตอร์ใหญ่ของไทย โดยเฉพาะเมดิเคิล ทัวร์ลิสซึ่ม โดยรายได้ของโรงพยาบาลเอกชน ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ จะมาจากลูกค้าชาวต่างประเทศถึง 1 แสนล้านบาท และหากรวมกับชาวต่างชาติที่พักและทำงานในไทยด้วยแล้วมีมูลค่าถึง 1.3 แสนล้านบาท ซึ่งรวมๆ แล้วคิดเป็นสัดส่วนรายได้ราว 25%และแนวโน้มยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก

“รายได้เมดิเคิล ทัวร์ลิสซึ่ม มีมาพักใหญ่แล้ว เรามีจุดแข็งเป็นอันดับ1 ในเอเชีย และเป็นอันดับต้นๆ ของโลก โดยจุดแข็งของเราถือแพทย์ที่เก่งและมีความเชี่ยวชาญ รวมทั้งเรายังมีบริการอื่นๆ ครบวงจรทั้ง อาหาร ท่องเที่ยว ค้าปลีก ซึ่งสิงคโปร์และมาเลเซีย ที่ถือเป็นคู่แข่งเรา จะสู้เราไม่ได้ในเรื่องความหลากหลายและความครบวงจร รวมถึงราคาที่คุ้มค่าและสมเหตุสมผล”

นอกจากนี้ การที่ทั่วโลกกำลังจะก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัย ซึ่งถือว่าเมืองไทยเป็นจุดหมายปลายทางที่ผู้สูงวัยในหลายๆ ประเทศต้องการมาพักอาศัย ก็ทำให้ธุรกิจการดูแลสุขภาพของไทยสดใสยิ่งยิ่งขึ้น ขณะที่ตลาดในประเทศเริ่มมีข้อจำกัดในการเติบโต การก้าวสู่การเป็นเมดิเคิล ทัวร์ลิสซึ่ม หรือเมดิเคิล ฮับ จึงเป็นแนวโน้มที่เราเห็นว่าน่าสนใจและมีศักยภาพที่จะเติบโตได้อีกมาก

ราคาหุ้นร่วงกังวลหนี้ก้อนโต

สำหรับความเคลื่อนไหวราคาหุ้นบีดีเอ็มเอส วานนี้ (29 ก.ย.) ระหว่างวันราคาหุ้นเปิดที่ 21.40 บาท ก่อนจะลดลงไปแตะ 20.90 บาท หลังจากนั้นราคาหุ้นดีดกลับมาสูงกว่าราคาเปิด ล่าสุดอยู่ที่ 21.60 บาท ลดลง 0.40 บาท หรือ 1.82% จากวันก่อนหน้า

ด้านผลการดำเนินงาน กลุ่มโรงพยาบาลในเครือกรุงเทพดุสิตเวชการ ณ สิ้นปี 2558 มีจำนวนเตียงรวม 7,519 เตียง จากโรงพยาบาลในเครือทั้งหมด 42 แห่ง นอกจากนี้ยังมีกลุ่มโรงพยาบาลที่ลงทุนถือหุ้นแต่ไม่ได้มีส่วนร่วมในการบริหารอีก 3 แห่ง ซึ่งมีจำนวนเตียงรวม 1,188 เตียง

สำหรับผลประกอบการในปี 2558 ที่ผ่านมา มีรายได้รวม 65,188.32 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% จากปี 2557 ที่มีรายได้ 58,240.14 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 7,917.47 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.09% จากปี 2557 ที่มีกำไร 7,393.52 ล้านบาท ขณะที่งวด 6 เดือนที่ผ่านมา มีรายได้รวม 33,747.85 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 4,075.67 ล้านบาท ปัจจุบันบริษัทมีอัตราส่วนหนี้ต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (D/E) 0.85 เท่า