'แตกต่าง' หนทางสู่ 'พันล้าน' ITEL

'แตกต่าง' หนทางสู่ 'พันล้าน' ITEL

เร่งมือขยายฐานลูกค้าเก่าควบคู่หาลูกค้าใหม่ ภารกิจใหญ่ 'ณัฐนัย อนันตรัมพร' นายน้อยแห่ง 'อินเตอร์ลิ้งค์ เทเลคอม'

'ทำงานด้วยความแตกต่าง กลยุทธ์ผลักดันตัวเลขรายได้ 5 ปีข้างหน้า (ปี2560-2564) ขึ้นสู่ระดับ 2-3 พันล้านบาท จากวันนี้ที่ทำได้แค่หลักร้อยล้าน'

นักธุรกิจหนุ่มวัย 29 ปี 'เก็ท-ณัฐนัย อนันตรัมพร' กรรมการผู้จัดการ บมจ.อินเตอร์ลิ้งค์ เทเลคอม หรือ ITEL ผู้ให้บริการโครงข่ายใยแก้วนำแสง ยืนยันเช่นนั้นกับ 'กรุงเทพธุรกิจ BizWeek' แม้เขาจะเพิ่งนั่งทำงานในองค์กรแห่งนี้ได้เพียง 5 ปี

แม้ 'ณัฐนัย' จะเป็นถึง 'ลูกเถ้าแก่ใหญ่' ในฐานะบุตรชายคนเดียว จากจำนวนพี่น้อง 4 คนของ 'สมบัติ–ชลิดา อนันตรัมพร' เจ้าของ บมจ.อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น หรือ ILINK ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายสายสัญญาณสื่อสารคอมพิวเตอร์และโทรคมนาคม (ILINK ถือหุ้น ITEL59.99%)
แต่เขากับไม่ได้รับอภิสิทธิ์ใดๆ จากผู้เป็นพ่อ ตรงข้ามกับสั่งบุตรชายที่มีดีกรีปริญญาโท ด้านไฟแนนซ์ มหาวิทยาลัยบอสตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา ให้ทำงานหนักกว่าลูกน้องในทีม เพราะเป้าหมายสำคัญของผู้ให้กำเนิด คือ ส่งต่อธุรกิจให้ทายาท

กรรมการผู้จัดการ เล่าว่า นั่งทำงานใน ILINK ได้ไม่นาน พบว่า ผลประกอบการออกแนวเหวี่ยงไปมา ทำให้รายได้และกำไรเติบโตไม่สม่ำเสมอ ฉะนั้นต้องหาธุรกิจใหม่เข้ามาเสริม เน้นกิจการนอนกินรายได้ยาวเป็นปี เมื่อความคิดตกผลึก ตัดสินใจเปิดกิจการใหม่ ภายใต้ชื่อ อินเตอร์ลิ้งค์ เทเลคอม

'จุดเด่น' ของ อินเตอร์ลิ้งค์ เทเลคอม คือ 1.โครงข่ายเคเบิ้ลใยแก้วนำแสงของบริษัทมีเส้นทางที่แตกต่างจากผู้ให้บริการรายอื่น และไม่ทับซ้อนกับโครงข่ายใยแก้วนำแสงที่มีอยู่เดิมของผู้ให้บริการรายอื่นๆ ที่ส่วนใหญ่เป็นโครงข่ายตามเส้นทางเสาไฟฟ้าบนถนน

แต่โครงข่ายของบริษัทเป็นเคเบิ้ลใยแก้วนำแสง ตั้งแต่โครงข่ายหลักจนถึงโครงข่ายย่อยที่ทำการเชื่อมต่อไปยังลูกค้าปลายทาง ทำให้สามารถรับส่งข้อมูลได้ด้วยความเร็วสูง และมีเสถียรภาพในการใช้งานมากกว่าโครงข่ายประเภทอื่นๆ

2.บริษัทมีเทคโนโลยีที่หลายคนมองหา หลังลูกค้าต้องการช่องสัญญาณที่ใหญ่กว่าเดิม เพราะงานข้อมูลมีจำนวนมากขึ้น 3.โครงข่ายตามเส้นทางรถไฟมีปัญหาใช้งานน้อยกว่าเส้นทางโครงข่ายถนน เป็นต้น

เมื่อถามถึงแผนธุรกิจในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า เขา ย้ำว่า ก่อนหน้านี้เคยวางแผนยาว 10 ปี ว่าต้องใช้เงินลงทุน 1,800 ล้านบาท แต่ตอนนี้เปลี่ยนเป็น 3 ปี ใช้เงินเท่าเดิม เพราะหากทำแผนยาวนานเกินไป อาจทำให้ธุรกิจถูกกลืน

ปัจจุบันบริษัทมีรายได้มาจาก 3 ทาง คือ 1.ธุรกิจให้บริการโครงข่ายวงจรสื่อสารข้อมูลความเร็วสูง (Data Service) คิดเป็นสัดส่วนรายได้ 53.26% เป้าหมายสำคัญ คือ ต้องการรักษาฐานลูกค้าเดิมอย่างกลุ่มธนาคาร ,ราชการ และองค์กรทั่วไป ควบคู่กับการขยายฐานลูกค้าใหม่อย่างต่อเนื่อง

2.ธุรกิจการให้บริการติดตั้งโครงข่ายโทรคมนาคม คิดเป็นสัดส่วนรายได้ 39.31% บริษัทตั้งเป้ารายได้รวมงานส่วนนี้เฉลี่ยปีละ 200 กว่าล้านบาท ส่วนปี 2559 คงทำได้ตามเป้า หลังครึ่งปีแรกรับรู้รายได้ไปแล้ว 139 ล้านบาท ปัจจุบันเหลือแบ็กล็อกรอรับรู้รายได้ประมาณ 93 ล้านบาท

3.ธุรกิจบริการพื้นที่ดาต้าเซ็นเตอร์ (Data Center) คิดเป็นสัดส่วนรายได้ 7% โดยบริษัทจะพยายามรักษาฐานลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันบริษัทให้บริการเช่าพื้นที่ดาต้าเซ็นเตอร์เต็มครบร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว ล่าสุดกำลังสร้างดาต้าเซ็นเตอร์เพิ่มเติม คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือน ก.พ.2560 ตั้งเป้าจะมีรายได้เฉลี่ยปีละ 180-200 ล้านบาท

เมื่อถามถึงธุรกิจใหม่ นายน้อย บอกว่า ธุรกิจรับสร้างดาต้าเซ็นเตอร์ คือ ธุรกิจใหม่ที่บริษัทกำลังดำเนินการ หลังมีแนวโน้มว่า ความต้องการบริการพื้นที่เช่าดาต้าเซ็นเตอร์อาจเพิ่มขึ้น ขณะที่ในตลาดยังไม่มีผู้ประกอบการรับสร้างดาต้าเซ็นเตอร์มากนัก ยกเว้น บมจ.อินเตอร์ลิ้งค์ เทเลคอม
ข้อดีของการเป็นเจ้าของดาต้าเซ็นเตอร์ ทำให้รู้ว่าลูกค้าต้องการสินค้าแบบไหน และอนาคตจะมีดาต้าเซ็นเตอร์เพิ่มขึ้นเท่าไหร่

'ในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า โครงสร้างรายได้ขององค์กรจะเปลี่ยนเป็น ธุรกิจวางโครงข่าย 60% ธุรกิจรับติดตั้ง 30% และธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ 10%' 

'ณัฐนัย' เล่าต่อว่า จากนโยบายดิจิตอลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (Digital Economy) ของรัฐบาล จะทำให้สังคมไทยเกิดการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะพฤติกรรมของผู้บริโภคที่จะหันมาติดต่อสื่อสารและรับส่งข้อมูลผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่และอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงมากขึ้น ฉะนั้นบริษัทย่อมได้รับผลดีตามไปด้วย

อย่างไรก็ดีการที่บริษัทเลือกใช้เสาโทรเลขตามแนวรถไฟเป็นเส้นทางหลักในการวางโครงข่าย นอกจากจะครอบคลุม 75 จังหวัดทั่วประเทศแล้ว ยังสามารถให้บริการเชื่อมต่อกับโครงข่ายเคเบิ้ลใยแก้วนำแสงของประเทศเพื่อนบ้านได้ด้วย เช่น สิงค์โปร,มาเลเซีย, กัมพูชา,สปป.ลาว และพม่า

'วันนี้เรามีศูนย์บริการแก้ไขเหตุขัดข้องทั่วประเทศ 38 ศูนย์ เปิดดำเนินการ 24 ชม.หากเกิดเหตุขัดข้อง บริษัทพร้อมให้บริการลูกค้าทั่วประเทศ' 

นักธุรกิจหนุ่ม ทิ้งท้ายว่า รายได้รวมในปี 2559 อาจขยายตัว 50-60% เมื่อเทียบกับปีก่อนที่มีรายได้รวม 436 ล้านบาท ส่วนในแง่ของกำไรสุทธิคงทำได้ดีกว่าปีก่อนที่อยู่ระดับ35.87 ล้านบาท

หากย้อนดูผลประกอบการในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (2556-2558) จะเห็นว่าเราทำได้ดีอย่างต่อเนื่อง โดยมีรายได้ระดับ 12.57 ,236.25 และ 436.89 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา มีรายได้แล้ว 354.82 ล้านบาท

'อนาคตจะเป็นช่วงของการเก็บเกี่ยวจากสิ่งที่ลงทุนไป ควบคู่กับการหาลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้น'