Zombie Books ซอมบี้ที่ใครๆ ก็หลงรัก

Zombie Books ซอมบี้ที่ใครๆ ก็หลงรัก

ใครจะคิดว่าท่ามกลางสถานบันเทิงและร้านรวงประเภทกินดื่มย่านพระรามเก้าจะมีร้านหนังสือบุคลิกเท่ๆ แทรกตัวอยู่อย่างไม่กลมกลืนนัก...

...ทว่ากลมกล่อมทีเดียวเมื่อได้ลองเข้าไป

            ร้านหนังสือซอมบี้ เป็นชื่อร้านหนังสือแปลกๆ ที่พอได้ยินก็อาจชวนสงสัยว่าทำไมต้องใช้ชื่อผีดิบแสนน่ากลัวมาตั้งเป็นชื่อร้านหนังสือด้วย ประเด็นนี้ ‘สิบ’ ผู้จัดการร้านแถลงไขว่าเพราะซอมบี้คือผีดิบชนิดพิเศษ เมื่อมันกัดใครคนนั้นก็จะกลายเป็นซอมบี้เหมือนกัน แล้วก็กัดคนอื่นๆ ต่อไปเรื่อยๆ ซอมบี้บุ๊คส์หรือร้านหนังสือซอมบี้จึงมีหน้าที่กัดนักอ่านด้วยหนังสือดี บรรยากาศเก๋ กระทั่งนักอ่านคนแล้วคนเล่ากลายเป็นแฟนคลับร้านนี้ไปโดยปริยาย

            จุดเริ่มต้นของร้านนี้เกิดจากความรักความชอบหนังสือของสิบ เขาต้องการให้ลูกของเขาเติบโตในร้านหนังสือ จึงลองยื่นแผนธุรกิจร้านหนังสือร้านนี้ให้รุ่นพี่ที่เคารพรัก เมื่อรุ่นพี่มองเห็นว่าสิบเอาจริงและมีแนวโน้มว่าธุรกิจนี้จะโตได้ จึงมอบทุนทำร้านให้ จึงนับได้ว่าร้านหนังสือซอมบี้เกิดขึ้นจากสี่หุ้น ซึ่งประกอบด้วย ทุนทรัพย์และทุนทางใจ

            อย่างที่เกริ่นไปว่าความแปลกแหวกแนวอันเห็นได้ชัดคือทำเลที่ตั้งร้านนี้ไม่เหมือนร้านหนังสืออิสระทั่วไป ที่มักจะตั้งอย่างเวิ้งว้าง แต่นี่กลับอยู่ท่ามกลางแหล่งบันเทิงเริงรมย์มากมาย นั่นก็เพราะความธรรมดาของร้านหนังสือทั่วไปที่ชอบไปตั้งอยู่ในพื้นที่เป็นอุดมคติเกินไปนั้นไม่กระแทกใจ อย่างที่ผู้จัดการร้านนิยามว่า “ไปแล้วเหวอ ไปแล้วไม่รู้จะไปไหนต่อ”

            แต่ที่ RCA มีโรงหนังที่ชื่อว่า House เป็นแหล่งของภาพยนตร์นอกกระแส ซึ่งคอหนังประเภทนี้ก็ใกล้เคียงกลุ่มลูกค้าของร้านซอมบี้ พิสูจน์ได้จากทุกวันนี้คนมาดูหนังที่ House มักจะมาร้านซอมบี้ คนที่มาร้านซอมบี้ก็ไปดูหนังที่ House ทั้งยังมีร้านอื่นๆ รองรับลูกค้าทุกกลุ่ม

            “ผมใช้ตัวผมเองเป็นที่ตั้ง ผมไม่อยากเป็นคนน่าเบื่อ ไม่ใช่ผู้หญิงที่มีลูกแล้วก็เลิกแต่งหน้า ก็ต้องไม่ปล่อยตัว”

            ทำให้แต่ละชั้นในร้านหนังสือนี้สะท้อนตัวตนได้สุดลิ่มทิ่มประตู โดยผ่านกระบวนการคิดมาแล้ว อย่างชั้นล่างชั้นแรกคือร้านหนังสือบวกกับคาเฟ่ หนังสือเล่มสวยอวดโฉมอยู่บนชั้น กรุ่นกลิ่นไอกาแฟที่ราคาไม่แพงอย่างน่าประหลาดใจ คนรักหนังสือที่มีแนวทางเฉพาะอย่างวรรณกรรมแปลและวรรณกรรมน้ำดีน่าจะชอบ

            ส่วนชั้นสองเป็นชั้นลอยที่มีหนังสือจำหน่ายบ้างแต่พื้นที่หลักเป็นโต๊ะกับเก้าอี้ให้นั่งอ่านหนังสือ ถัดขึ้นไปที่ชั้นสามคือพื้นที่นั่งอ่านหนังสือ นั่งทำงาน ค่อนข้างเงียบและเป็นส่วนตัวมาก สำหรับคนที่ต้องการความเป็นส่วนตัวคูณสองก็มีห้องให้อ่านหนังสือได้ แต่ในอนาคตอาจเป็นพื้นที่แสดงงานศิลปะหรือฉายภาพยนตร์

            ส่วนชั้นบน (ชั้นสี่) เป็นบาร์จำหน่ายเครื่องดื่มทั้งแอลกอฮอล์และไม่มีแอลกอฮอล์ มีดนตรีแสดงสดโดยที่คัดมาแล้วว่าไม่ใช่นักดนตรีธรรมดาๆ อาทิ วงแจ๊สระดับแชมป์ประเทศไทย นักดนตรีชื่อดังของประเทศ ซึ่งพื้นที่บาร์จุดติดก่อนใครเพื่อน หลายคนนิยมมาอ่านหนังสือแล้วขึ้นมานั่งจิบเครื่องดื่มไปพลาง ฟังดนตรีไปพลาง คลอเคล้าบรรยากาศที่ตกแต่งอย่างมีสไตล์ ไม่ซ้ำใคร

            “ผมออกแบบเองหมดเลย เฟอร์นิเจอร์สั่งทำทุกชิ้น คิดเอง และสั่งทำเอง ผมไม่ได้เรียนเรื่องการออกแบบมานะ แต่ร้านทั่วไปชอบทำร้านใหม่ๆ สะอาดๆ แต่ผมชอบไม้ หนังสือก็มาจากจากไม้ ถ้ามันอยู่ด้วยกันก็เหมือนพ่อกับลูก และผมไม่ชอบการออกแบบโมเดิร์นที่สะอาดสะอ้าน ผมคิดว่าศิลปะทุกอย่างมีข้อบกพร่อง ไม่ต้องเนี้ยบมาก ไม่อย่างนั้นเวลาจะทำอะไรก็กลัวว่ามันจะเปื้อนไหม”

            ถ้าหนังสือคือพระเอกในร้านหนังสือ โคมไฟแชนเดอเลียร์หลายชิ้นบนเพดานร้านก็น่าจะเป็นนางเอกที่ถูกนำมาประดับประดาอย่างตั้งใจ บางชิ้นมาไกลจากยุโรปตะวันออก ราคาแพงแสนแพง แต่เพื่อนพ้องของผู้จัดการร้านก็ให้หยิบยืมมา (แต่อาจไม่ได้คืน) นอกจากจะเข้ามาซื้อหนังสือ หรือนั่งอ่านหนังสือ

            ไม่ได้มีแค่ลักษณะทางกายภาพ แต่ความใจกว้างของเจ้าของร้านนับเป็นอีกเสน่ห์หนึ่ง อย่างที่เขามักจะบอกว่า "ร้านนี้ คุณกินกาแฟแก้วนึงก็อยู่ไปเลย ผมยินดี” ด้วยความเชื่อของเขาที่ว่าคนคือเฟอร์นิเจอร์ที่ดีที่สุด ไม่ว่าคุณจะมีแชนเดอเลียร์แพงขนาดไหน มีโต๊ะเก้าอี้ที่น่านั่งสบาย แต่ร้านคุณไม่มีคน ร้านคุณไม่มีเสน่ห์ อีกอย่างมีคนเตือนว่าประเดี๋ยวก็มีคนมากินน้ำเปล่าขวดเดียวแล้วอยู่ทั้งวัน เขาบอกว่าไม่เป็นไร เพราะเขาไม่เชื่อว่าคนทุกคนต้องการถูกมองด้วยสายตาเหยียดหยาม ก็แค่วันนี้เขาไม่มี ถ้าเขามีเขาก็อยากอุดหนุน วันนี้เขาไม่มีไม่เป็นไร วันหน้าเขามีก็อาจจะนึกถึงร้านซอมบี้บุ๊คส์ก็ได้

          แต่สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น การจะพลีชีพไปเป็นซอมบี้แห่งร้านหนังสือร้านนี้จำเป็นต้องไปโดนกัดด้วยตัวคุณเอง