ดีเดย์ 'บัตรแมงมุม' ต้นปี 60

ดีเดย์ "บัตรแมงมุม" ต้นปี 60 เปิดบริการ "ตั๋วร่วม" รถไฟฟ้า
กระทรวงคมนาคมพยายามผลักดันระบบตั๋วร่วม (Common Ticketing System) สำหรับผู้ใช้บริการระบบขนส่งสาธารณะ กล่าวคือสามารถใช้บัตรเพียงใบเดียว สำหรับการเดินทางในภาคขนส่งได้ทุกระบบ เช่นเดียวกับเมืองใหญ่ทั่วโลกที่มีระบบขนส่งสาธารณะมากมาย
ตั๋วร่วม สามารถใช้กับระบบรถไฟฟ้า ระบบรถโดยสารประจำทาง ระบบเรือโดยสาร และระบบทางพิเศษ หากมีการติดตั้งด้วยระบบเดียวกัน ซึ่งทำให้ประชาชนได้รับความสะดวกสบายในการเชื่อมต่อการเดินทางเมื่อต้องการเปลี่ยนระบบหรือเส้นทาง
นอกจากนี้ ระบบตั๋วโดยสารให้เป็นหนึ่งเดียว จะช่วยลดเวลาในการซื้อตั๋วโดยสาร และไม่ต้องเสียค่าแรกเข้าซ้ำซ้อนในการเดินทางมากกว่าหนึ่งเส้นทางขึ้นไป
ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า คาดว่าจะเริ่มใช้ระบบตั๋วร่วม หรือ “ตั๋วแมงมุม” โดยสำนักงานโครงการบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม ภายใต้การดูแลของสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร(สนข.)
นายเผด็จ ประดิษฐเพชร ผู้อำนวยการสำนักงานโครงการบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ผู้เป็นแม่ใหญ่ ได้เล่าความคืบหน้า และ มั่นใจว่าจะเปิดให้บริการประชาชนในต้นปี 2560
ตอนนี้ขั้นตอนไปถึงไหนแล้ว
ตอนนี้กรอบการดำเนินงานอยู่ระหว่างเตรียมเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในเดือน ก.ย.นี้ ซึ่ง สนข.รายงานในส่วนของ 4 ประเด็นหลัก คือ 1. ขอเห็นชอบโครงสร้างของระบบตั๋วร่วม 2. ขอเห็นชอบกรอบการดำเนินงานในระยะเริ่มต้น พร้อมมอบอำนาจให้หน่วยงานทั้งสนข. หรือการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ไปดำเนินการเจรจาเอกชนเข้ามาร่วมโครงการเพื่อให้งานดำเนินได้
3. ขอเห็นชอบในการจัดตั้งบริษัทจัดการรายได้กลางในรูปแบบเอกชนร่วมโครงการรัฐฯ (พีพีพี) และ 4. ชี้แจงเพื่อให้ทราบในแผนการดำเนินงานที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้
นอกจากขั้นตอนขออนุมัติกรอบดำเนินการและหลักการต่างๆ แล้ว ก็จะต้องมีการร่าง พ.ร.บ.ตั๋วร่วม ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือน พ.ย.นี้ และเมื่อได้ร่าง พ.ร.บ.ผ่านแล้วก็จะต้องดำเนินการภายในต่างๆคาดว่าจะประกาศใช้ในเดือน ธ.ค.2560
แต่ระหว่างนี้สิ่งที่สามารถดำเนินการให้บริษัทสามารถจัดตั้งได้ และใช้ระบบเลยก็คือการรอมติ ครม.เห็นชอบ และดำเนินการในระยะแรกจัดตั้งบริษัทเป็นการชั่วคราว
โครงสร้างบริษัทเป็นอย่างไร
ลำดับขั้นตอนจะเริ่มต้นจากรอมติ ครม.เห็นชอบในกรอบดำเนินการ ก่อนจะนำไปสู่ขั้นตอนของคณะกรรมการพีพีพีเป็นผู้กำหนดโครงสร้าง ซึ่งตอนนี้วางไว้ 2 โมเดล คือ 1. ภาครัฐฯ ถือหุ้น น้อยกว่า 50% ซึ่งในส่วนนี้ก็อาจจะเป็นสถาบันทางการเงินของรัฐฯ รัฐวิสาหกิจภายใต้สังกัดกระทรวงคมนาคม หรือกระทรวงการคลังเอง และโมเดลที่ 2. จะแบ่งออกเป็น ภาครัฐฯ ภาคเอกชน และฝ่ายเทคนิค ซึ่งส่วนของภาคเอกชนก็จะมาในรูปแบบของการเปิดประมูล
ภาคเอกชนที่จะเข้ามาร่วมบริษัทนี้ กลุ่มเป้าหมายแรกคือ รถไฟฟ้า 4 สาย ทั้งสายสีม่วง สายสีน้ำเงิน ของ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (บีอีเอ็ม) รถไฟฟ้าสายสีเขียวของ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) และรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตเรลลิงก์ สายสีแดง ซึ่งกลุ่มแรกนี้หาก ครม.เห็นชอบหลักการโครงสร้างดำเนินงานต่างๆ แล้ว สนข. และรฟม.ก็จะเข้าไปเจรจากับภาคเอกชนเพื่อเชิญชวนเข้ามาร่วมหุ้นส่วนบริษัท และให้ทำความเข้าใจถึงระบบที่จะต้องลงทุนปรับแก้กัน
จากการประเมินค่าใช้จ่ายด้านระบบน่าจะเฉลี่ยอยู่ที่รายละกว่า 100 ล้านบาท
ช่วงแรกของการดำเนินงานติดตั้งระบบในกลุ่มแรก ก็คาดว่าจะใช้ระยะเวลาประมาณ 6-7 เดือน แบ่งออกเป็นการเจรจาทางธุรกิจ 1-2 เดือน การติดตั้งปรับปรุงระบบ 2-3 เดือน และทดสอบระบบอีก 2 เดือน ดังนั้นหาก ครม.เห็นชอบหลักการให้เริ่มดำเนินการได้ในเดือน ก.ย.นี้ และเอกชนสามารถเร่งรัดติดตั้งระบบได้เลยก็จะเริ่มเปิดตัวใช้ระบบตั๋วร่วม และบัตรแมงมุมในช่วงต้นปี 2560 เป็นต้นไป
มั่นใจแค่ไหนว่าจะเปิดใช้ทันตามกำหนด
ตอนนี้นอกจากกลุ่มเป้าหมายที่ สนข.วางไว้ว่าจะเป็นรถไฟฟ้าในกรุงเทพฯ ที่มีระบบจัดเก็บรายได้แบบอิเล็กทรอนิกส์พร้อมอยู่แล้ว ก็จะเริ่มเห็นว่าระบบขนส่งมวลชนอื่นๆ ที่เป็นกลุ่มติดตั้งใหม่ตามมาตรฐานกลาง ก็จะมีตั้งแต่ทางด่วน มอเตอร์เวย์ รถเมล์ 2 พันคันที่จะเริ่มติดตั้งในปี 2560 รถไฟฟ้าสายใหม่ๆ ที่จะมีเกิดขึ้น เรือโดยสาร และอื่นๆ ส่วนนี้หากใครพร้อมนำระบบไปติดตั้งก็จะเป็นทางเลือกที่เร็วขึ้น เพราะไม่ต้องแก้ไขปรับปรุงระบบใหม่ สามารถลงทุนระบบอ่านบัตรได้ทันที
ดังนั้นหากให้ลิสต์ระบบขนส่งที่คุยมาเบื้องต้นและพบว่ามีความพร้อมจะเริ่มเปิดตัวติดตั้งระบบตั้งแต่ต้นปีหน้าเป็นต้นไป
จะเริ่มบริการอะไรก่อนหรือพร้อมกันทีเดียว
จะเกิดขึ้นตามลำดับจาก รถไฟฟ้าสายสีเขียวของบีทีเอส ซึ่งน่าจะมีความพร้อมก่อนเพราะเข้าใจระบบของเราแล้ว เนื่องจากเป็นผู้วางระบบตั๋วร่วมนี้ รองลงมาก็จะเป็นรถเมล์ที่อยู่ระหว่างเตรียมติดตั้งระบบอ่านตั๋วร่วมในรถเมล์ 2 พันคัน ต่อด้วยแอร์พอร์ตลิงก์ มอเตอร์เวย์ รถไฟฟ้าสายสีม่วง รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน และทางด่วนของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.)
ส่วนการติดตั้งระบบนอกภาคการขนส่ง เช่น ที่จอดรถ สถาบันทางการเงิน มือถือ ร้านสะดวกซื้อ และอื่นๆ ก็จะเข้ามาร่วมมือในรูปแบบของการอำนวยความสะดวก นำบัตร และระบบของเราไปใช้จ่ายแทนเงินสด ซึ่งส่วนนี้ก็จะดำเนินการได้เร็ว เช่น แบงก์ก็จะนำบัตรของเราไปใช้ร่วมกับการออกบัตรเอทีเอ็มของนักเรียน นักศึกษา เพื่อใช้กดเงินและใช้จ่ายภาคการขนส่งได้ด้วย
ดังนั้นก็จะทำได้ทันทีเพียงแค่เอาบัตรของเราไปเชื่อมต่อกับระบบของเขา ซึ่งส่วนใหญ่ภาคเอกชนเหล่านี้ก็ค่อนข้างเชี่ยวชาญอยู่แล้ว
รูปแบบการจัดเก็บและแบ่งรายได้
เบื้องต้นส่วนของบริษัทที่จัดตั้งชั่วคราวนั้นก็จะเป็นอำนาจของคณะกรรมการพีพีพีเป็นผู้ตัดสินสัดส่วนบริษัทว่าจะแบ่งอย่างไร ให้เอกชนเท่าไร ซึ่งฝ่ายเอกชนอาจจะเข้ามาร่วมหุ้นโดยเทียบจากวงเงินที่ลงทุนปรับปรุงติดตั้งระบบแล้วก็ได้
ส่วนแนวทางปฏิบัติในระยะยาวที่ สนข.ศึกษาก็ดูรูปแบบการจัดเก็บรายได้ของตั๋วร่วมในต่างประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่จะจัดเก็บข้อมูลการใช้งานของระบบขนส่งแต่ละชนิด ในแต่ละวัน และมีการประเมินออกมาเป็นจำนวนมากหรือน้อยเพื่อปรับสัดส่วนการครองหุ้นในระยะทุกๆ 3 ปี เพื่อให้การแบ่งรายได้เป็นธรรม







