บัณฑูร : วิกฤติ'ป่าน่าน'คือวิกฤติชาติ

 บัณฑูร : วิกฤติ'ป่าน่าน'คือวิกฤติชาติ

"บัณฑูร" ขอเวลานายกฯ 15 นาทีบรีฟปัญหาป่าน่านจริงจัง หลังตัวเลขป่าหายกว่า 28% ของพื้นที่ป่าสงวน หวั่นปัญหาลามระบบนิเวศน์ จี้หยุดตัดไม้ทันที

นายบัณฑูร ล่ำซำ ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารธนาคารกสิกรไทย ให้สัมภาษณ์นายสุทธิชัย หยุ่น ที่ปรึกษาคณะกรรมการบริหารและกองบรรณาธิการเครือเนชั่น ถึงโจทย์ของป่าจังหวัดน่านว่า ป่าน่านมีความสำคัญ เป็นต้นนำของแม่น้ำเจ้าพระยา กว่า 40% ของมวลน้ำของเจ้าพระยามาจากป่าน่าน แต่ตลอด 10 ปีที่ผ่านมายังเห็นการตัดป่าอย่างต่อเนื่อง ขณะที่การแก้ปัญหายังไม่มีความชัดเจน ยังไม่มียุทธศาสตร์ใหญ่ที่จะหยุดการตัดป่าน่านในขณะนี้
ปัญหาป่าน่านเข้าขั้นเป็นมะเร็ง

เขาชี้ให้เห็นว่า ข้อมูลจากดาวเทียมตลอดช่อง 10 ปีที่ผ่านมา จ.น่านเสียพื้นที่ป่าไปปีละ 2 หมื่นไร่ แต่ในระยะหลัง ๆ ความต้องการที่เพิ่มขึ้น ทำให้พื้นที่ป่าหายไปอย่างรวดเร็ว เพิ่มขึ้นปีละ 5 หมื่นไร่ และ 1 แสนไร่ต่อปี ล่าสุดข้อมูลของโครงการรักษ์ป่าน่านทำร่วมกับGISTDA สกว.และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มีการนับต้นไม้จากภาพถ่ายดาวเทียม พบว่าน่านสูญเสียป่า 2-2.5 แสนไร่ต่อปี มาถึงตอนนี้พื้นที่ป่าสงวนของน่านหายไปแล้วถึง 28% จึงเห็นภาพเขาหัวโล้นที่สร้างความตื่นตะลึงในสังคมออนไลน์และเกิดปฏิกิริยาที่เข้ามาช่วยแก้ปัญหาด้วยความหวังดี อย่างการปลูกป่าน่านขึ้นใหม่ แต่นั่นไม่ใช้การแก้ที่รากเหง้าของปัญหา เปรียบเสมือนเป็นมะเร็งแล้วให้กินแอสไพริน

กระแสโซเชียลตื่นตัวช่วยป่าน่าน

กระแสความตื่นตัวในโซเชียลจะมีมากจนเกิดความพยายามเข้าไปปลูกป่าน่านมากขึ้น แต่ปลูกป่าไม่สามารถคืนเป็นป่าได้ในเวลาอันสั้น และการปลูกป่าต้องปลูกแบบมีความหมาย คือปลูกต้นไม้ใหญ่ที่มีรากลึกเพื่อยึดน้ำและดินซึ่งใช้เวลานอกจากนี้น่านยังมีปัญหาที่ซับซ้อนกว่าคือพื้นที่ที่จะใช้ปลูกให้กลับมาเป็นป่า คือพื้นที่ป่าสงวนทั้งหมด เพราะมีการประกาศพ.ร.บ.ป่าสงวนกว่า 85% ของพื้นที่จังหวัด ไม่เพียงพอต่อการทำมาหากินของชาวบ้าน เมื่อพื้นที่ถูกกฎหมายมีน้อยเมื่อประชากรเพิ่มขึ้นก็ต้อง รุกขยายพื้นที่มากขึ้น เมื่อก่อนไม่มีประเด็นความกดดันในการทำมาหากิน แต่หลังๆ กระแสทุนนิยมเข้ามาก็ต้องการพืชเกษตรไปเลี้ยงสัตว์ ชาวบ้านก็พากันปลูกข้าวโพด เมื่อพื้นที่ถูกกฎหมายมีน้อยก็ต้องรุกเข้าไปในพื้นที่ป่าสงวน เกิดกระบวนการเริ่มตัดต้นไม้มากขึ้นเรื่อยๆ

พื้นที่ไม่พอทำกินต้นเหตุรุกป่าน่าน

สำหรับบัณฑูรแล้ว เขามองว่ารากเหง้าของปัญหาป่าน่านคือพื้นที่ที่ไม่เพียงพอต่อการทำมาหากินได้ตามปกติได้ คือมีพื้นที่ถูกกฎหมายเพียง15% ของพื้นที่
และน่านไม่มีระบบอื่นๆ รองรับประชากรกว่า 5 แสนคน โดยเฉพาะในแง่ระบบการปกครองราชการของน่านจัดว่าอยู่ปลายแถวมาโดยตลอด เพราะใช้เกณฑ์การวัดด้วยจีดีพี งบประมาณต่าง ๆ ที่จะใช้ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานจึงไม่เพียงพอ แม้กระทั่งอ่างเก็บน้ำที่จะเก็บไว้ใช้ทั้งปีสำหรับเกษตรกรรมก็ยังไม่สามารถสร้างได้แล้วเสร็จ

“ขุมทรัพย์ของน่าไม่ได้อยู่ที่เศรษฐกิจ แต่อยู่ที่ความเป็นป่าต้นน้ำ ชาวน่านนั่งอยู่บทเครื่องกรองน้ำที่ใหญ่ที่สุดของระบบนิเวศน์ คือป่าต้นน้ำน่าน หากต้นน้ำเป็นอะไร เจ้าพระยาและภาคกลางก็เป็นไปด้วยที่สำคัญกระแสน้ำจะคุมได้ยาก เพราะไม่มีป่าหรือต้นไม่ที่มีรากลึกมายึดดินยึดน้ำเอาไว้ นอกจากนี้ช่วงที่น้ำไม่ลงมา น้ำทะเลก็ดันขึ้นไป ถึงระดับหนึ่งดินที่ใช้ปลูกข้าวในภาคกลางก็จะใช้ไม่ได้ เป็นเชิงนิเวศวิทยาที่น่ากลัวมาก”

รัฐบาลยังไม่ให้ความสำคัญป่าน่าน

ข้อเท็จจริงเหล่านี้ยังไม่ได้รับความสนใจเชิงนโยบาย เพราะหลายรัฐบาลที่ผ่านมามีเรื่องเร่งด่วนที่ต้องเร่งทำ เรื่องป่าต้นน้ำกลายเป็นเรื่องไกล ๆ และไม่เสียหายทันที แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งจะแก้ยากและต้องใช้เวลา

แม้บริษัทยักษ์ใหญ่จะหยุดรับซื้อข้าวโพดเป็นการแก้ปัญหาเชิงภาพลักษณ์ของบริษัทเท่านั้นแต่ไม่ได้แก้ปัญหาปากท้องของชาวบ้าน หรือจะมีการท่องเที่ยวเข้าไปในจังหวัดน่านมากขึ้น แต่ก็ดีกับเศรษฐกิจในเมืองเท่านั้น ชาวบ้านที่อยู่ในป่ายังจนอยู่และต้องตัดป่า เหมือนมะเร็งที่กินไปเรื่อย ๆ โดยไม่มีอะไรไปสกัดกั้น นอกจากนี้ความรู้สึกของคนในพื้นที่ เพราะน่านมีนัยทางประวัติศาสตร์ เข้ามาเป็นประเทศราชตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 มีความสัมพันธ์อันดี แต่เวลานี้ศักดิ์ศรีของคนน่านไม่มี งบประมาณไม่มีการจัดการไม่มี ความรู้สึกไม่ดีของคนพื้นที่รุนแรงขึ้นด้วยเรื่องปากท้อง น่านเป็นป่าต้นน้ำ แต่คนน่านไม่ได้ใช้ประโยชน์เพราะไม่มีระบบกักเก็บน้ำ ไม่มีงบประมาณที่เพียงพอ สำหรับโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ

บัณฑูร ยอมรับว่าอุปสรรคของป่าน่านคือ พ.ร.บ.ป่าสงวนที่ประกาศขึ้นมา โดยไม่ดูความเป็นจริง ไม่ได้มองผลต่อการทำมาหากินความเป็นอยู่ของคนในพื้นที่ แม้จังหวัดอื่นก็มีพื้นที่ถูกประกาศเป็นป่าสงวนเช่นกัน แต่น่านกลายเป็นป่าสงวนไปถึง 85% ของพื้นที่จังหวัด การจะดำเนินการใดๆ ในพื้นที่เป็นเรื่องที่ไม่สามารถทำได้ง่ายๆ แม้กระทั่งการสร้างประปาตำบล ก็ผิดกฎหมาย การจะยกเลิกประกาศพื้นที่ผ่านสงวนไม่สามารถทำได้เพราะอาจลุกลามไปพื้นที่อื่นได้ขณะที่การแก้ปัญหาแบบภูทับเบิกทำไม่ได้ เพราะที่นี่คือชาวบ้านตัวจริง ไม่ใช่ทุนจากข้างนอก

ดังนั้นหากมีอำนาจต้องประกาศจัดสรรระบบที่ดินกันใหม่ ถือเป็นเรื่องใหญ่สุด เป็นความคับแค้นใจของเกษตรกร คือไม่มีที่ดินทำกิน ทั้งที่บ้านของตัวเอง และเมื่อไม่มีทางเลือกก็ต้องตัดป่ารู้ว่าผิดแต่เมื่อคนอื่นตัดก็ต้องตัด รัฐบาลจะเข้าไปจับก็ทำไม่ได้

ขณะที่ความพยายามในการแก้ปัญหาโดยผู้มีอำนาจในพื้นที่ก็ยังทำได้ยาก เช่นผู้ว่าจังหวัดน่านก็มาอยู่แค่ 1-2 ปีแล้วก็ไป เป็นภาพสะท้อนปัญหาของระบบมหาดไทย แม้จะมีผู้ว่าที่คิดทำเพื่อป่าน่านในระยะยาว ก็ไม่มีโครงสร้างอำนาจที่รองรับ

เปรียบป่าน่าน“คนป่วยหนัก”

“โครงสร้างการบริหารราชการของไทย โดยรวมไปได้ แต่ปัญหาน่าน เหมือนคนป่วยอาการหนัก ต้องมีห้องพิเศษดูแลต้องมีเงื่อนไขพิเศษสักพักจนกว่าจะฟื้น หากป่าต้นน้ำตาย ในทฤษฎีนิเวศวิทยา กรุงเทพก็ต้องตายด้วยในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง ป่าต้นน้ำมีความหมายต่อระบบนิเวศน์ของพื้นที่ข้างล่างลงมาหรือกทม. นี่เป็นเรื่องความมั่นคงของระบบเศรษฐกิจใครก็ตามเป็นรัฐบาลมีหน้าที่สามารถบริหารราชการแผ่นดินจะมองข้ามประเด็นเหล่านี้ไม่ได้ เครื่องมือและความรู้ทางวิทยาศาสตร์ของไทยมีเพียงพอ ป่าต้นนำหายไปเท่าไรแล้ว เราดูได้ทำไมไม่เอามาใช้ ดังนั้น ถึงเวลาที่นายกต้องลงมาดูปัญหาด้วยตัวเอง หากดูตัวเลขหนักหนาขึ้นทุกวัน มันไม่นิ่ง มันเร็ว ความเป็นป่ายังอยู่ แต่ต้นไม้โล้นไปนานแล้ว”

หากอยู่ในระบบโครงสร้างการบริหารแบบเดิมหรือโครงสร้างจังหวัดของระบบมหาดไทยไม่สามารถแก้ปัญหาได้ ดังนั้นการจะแก้ปัญหาป่าน่านให้ได้
ต้องเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจอย่างน้อยชั่วคราวเพื่อให้การจัดการถูกรวบทุกมิติเข้ามาไว้ด้วยกัน​ จะแยกตามสายงานไม่ได้ โดยสามารถจัดเป็นพื้นที่ทดลองชั่วคราว (Special Experimental Domain) มีการเจรจาจัดสรรพื้นที่ ซึ่งในการจะให้คนถอยออกไปจากพื้นที่ป่าสงวน เพื่อปลูกป่ากลับเข้าไปใหม่ กำหนดโครงสร้างอำนาจ มีข้อตกลงเชิงนิติศาสตร์ใหม่ ให้คนอยู่ในป่าอย่างไร และมีงบประมาณรองรับในการเจรจาให้ คนที่ตัดป่ายอมถอยออกมาต้องมีอะไรรองรับ ต้องมีโครงสร้างการทำมาหากินใหม่ ไม่เช่นนั้นชาวบ้านก็กอดไร่ข้าวโพดต่อไป

อย่างไรก็ตาม บัณฑูร ยืนยันว่าการยกเลิกพ.ร.บ.ป่าสงวนทำไม่ได้ แต่ต้องมีวิธีอนุญาตพิเศษ เช่นจะปลูกกาแฟใต้ต้นไม้ใหญ่ ไม่เสียหายต่อระบบนิเวศน์ก็ทำได้ ต้นไม้ใหญ่ยังอยู่ทำหน้าที่ในระบบนิเวศน์ต่อไป แต่ประชากรมีผลผลิตแบบใหม่ขึ้นมา ดีกว่าข้าวโพดที่ไม่ได้แก้ปัญหาอะไร

“เชื่อว่าคนน่านมีความพร้อม หากมีข้อตกลงและทิศทางที่ชัดเจนถึงอนาคตที่ดีกว่า ความแข็งแกร่งชุมชนน่านที่ได้สัมผัสมาผ่านผู้นำชุมชน มีความตั้งใจดี อยู่ในวิสัยที่จะแก้ได้ และต้องทำให้คนรุ่นใหม่ของน่านมีความหวังให้ได้ ไม่งั้นคนเก่ง ๆ ของน่านก็หนีไปอยู่กรุงเทพหมด แล้วใครจะอยู่แก้ปัญหาน่าน”

เสนอนายกลงพื้นที่ 15 นาทีฟังปัญหาป่าน่าน

บัณฑูร ยังเสนอว่า อยากขอเวลานายกรัฐมนตรีสัก 15นาที เพื่อสรุปให้เห็นปัญหาของป่าน่านและชี้ให้เห็นทิศทางการแก้ปัญหาให้ตรงจุด ซึ่งที่ผ่านมาเชื่อว่านายกรัฐมนตรีพอจะได้รับทราบข่าวและรู้ความสำคัญของป่าน่านแล้ว แต่ด้วยภารกิจที่มากทำให้ยังไม่สามารถเดินทางมาเยี่ยมจังหวัดน่านได้ แม้ว่าทุกจังหวัดของประเทศจะมีความสำคัญเท่ากัน และมีปัญหาที่แตกต่างกันไป แต่น่านมีประเด็นปัญหาที่ชัดเจนคือป่าต้นน้ำ 40% ของมวลน้ำเจ้าพระยา การแก้ปัญหาควรมีจัดการให้สอดคล้องกับความเป็นจริงของปัญหา และบทบาทที่ท้องที่นั้น ๆ มีต่อประเทศไทย

โดยส่วนตัวที่่มากระตุ้นเรื่องนี้เพราะรู้สึกไปกับโจทย์นี้ และเห็นว่าน่าจะทำอะไรได้ดีกว่านี้ ภูมิประเทศน่านมีความน่าสนใจ ความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่ มีของดีที่สวรรค์ส่งมาเป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศน์ของไทย ทำไมปล่อยให้โล้นไปได้ เพื่อไปแลกกับพืชเกษตรต่ำ ๆ เป็นการแลกกันที่ไม่ฉลาดที่สุด

“สำหรับจังหวัดน่านประเทศไทยนั่งอยู่บนเหมืองเพชรของระบบนิเวศวิทยาที่กลั่นและกรองน้ำ 40% ของเจ้าพระยา แล้วเราเอาไปแลกกับพืชสะเหล่อๆ อย่างข้าวโพด”