5 ปี สมาร์ทโฮมทะยานหมื่นล้าน

5 ปี สมาร์ทโฮมทะยานหมื่นล้าน

“เกรท เอ็มไพร์” ประเมินตลาดโซลูชั่นสมาร์ทโฮมประเทศไทยโอกาสเติบโตดี คาด 5 ปี มูลค่าแตะ 17,500 ล้านบาท

“เกรท เอ็มไพร์” ประเมินตลาดโซลูชั่นสมาร์ทโฮมประเทศไทยโอกาสเติบโตดี คาด 5 ปี มูลค่าแตะ 17,500 ล้านบาท เปิดกลยุทธ์ลุยหนักไทย ส่งแบรนด์ “ไอ-บีแชมป์” เจาะลูกค้าระดับกลาง-บน ตั้งเป้ารายได้เติบโตไม่น้อยกว่า 50% ทุกปี

นายเหว่ยเห้า เฉิน ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เกรท เอ็มไพร์ อินเตอร์เนชั่นแนล กรุ๊ป จำกัด ผู้ให้บริการโซลูชั่นโฮมออโตเมชั่น และวางระบบสมาร์ทโฮมภายใต้แบรนด์ ไอ-บีแชมป์ จากประเทศจีน กล่าวว่า ภาพรวมตลาดโซลูชั่นสมาร์ทโฮมในประเทศไทยมีแนวโน้มขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง

แม้ขณะนี้การใช้งานยังไม่เป็นที่แพร่หลาย กระจุกตัวเฉพาะกลุ่มลูกค้าระดับบนหรือผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ไฮเอนด์ที่มีกำลังซื้อสูง ทว่ามีความเป็นไปได้ว่าภายใน 5 ปีจากนี้มูลค่าจะเพิ่มไปไม่น้อยกว่า 500 ล้านดอลลาร์(ประมาณ 17,500 ล้านบาท) หรือเติบโตได้เป็นตัวเลข 2 หลักทุกปี

ปัจจัยสำคัญ มาจากการเติบโตของการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต การใช้สมาร์ทโฟน รวมถึงการเข้ามาของผู้เล่นใหม่ๆ และราคาที่ค่อยๆ ถูกลง ประเมินขณะนี้ที่นิยมใช้งานอย่างมากประกอบด้วยระบบวงจรปิด และระบบอัติโนมัติเช่นควบคุมไฟ ม่าน ผ่านทางสมาร์ทโฟน

“ความต้องการยังไม่เกิดจริงจัง ลูกค้ายังไม่เห็นว่าเป็นสิ่งจำเป็น ทว่าด้วยปัจจัยบวกดังกล่าวและเป็นเรื่องของการเพิ่มความสุขให้กับชีวิตจะผลักดันให้ตลาดค่อยๆ เติบโตมากขึ้นตามลำดับ”

นอกจากนี้ จะเติบโตได้ดีหรือไม่ กระทบโดยตรงจากภาวะเศรษฐกิจ การเติบโตของอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงนโยบายการส่งเสริมการลงทุนและการดึงเม็ดเงินจากต่างประเทศ

สำหรับบริษัท หลังจากปี 2558 เข้ามาเตรียมความพร้อมปีนี้รุกหนักประเทศไทยเต็มรูปแบบ มุ่งโฟกัสลูกค้าระดับกลางถึงบน หรือโครงการระดับ 5 แสนบาทขึ้นไป ขณะนี้มีลูกค้าโทรศัพท์เข้ามาสอบถามทุกวัน ที่คุยกันและเตรียมทำงานร่วมกันรวมทั้งกลุ่มธุรกิจและลูกค้าทั่วไปมีอยู่ประมาณ 7 ราย

ด้านกลยุทธ์ มุ่งเสนอราคาที่จับต้องได้ ต่างกับผู้ให้บริการจากยุโรปที่มีส่วนต่างกำไรสูงมาก แพงกว่าถึง 100% แต่ทั้งนี้ลูกค้าไม่ต้องกังวลเรื่องคุณภาพ เนื่องจากบริษัทใช้เทคโนโลยีมาตรฐานยุโรปเช่นเดียวกัน ที่ทำให้ถูกกว่าได้เนื่องด้วยมีข้อได้เปรียบด้านซัพพลายเออร์จากจีน

โดยเฉลี่ยราคาการติดตั้งโซลูชั่นสมาร์ทโฮมซึ่งครอบคลุมการใช้งานของบริษัทจะอยู่ที่ 10% ของราคาบ้าน หากงบลงทุนน้อยสัดส่วน 5% ก็พอทำได้ หรือสามารถเริ่มทำได้ตั้งแต่หลักหมื่นบาทเป็นต้นไปขึ้นอยู่กับฟังก์ชั่นที่เลือก เช่นควบคุมไฟอย่างเดียวประมาณ 3 หมื่นบาท

ผลิตภัณฑ์ไฮไลต์ ประกอบด้วย ระบบควบคุมไฟฟ้าแสงสว่าง ระบบควบคุมอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในบ้าน ระบบความบันเทิงภายในบ้าน ระบบบริหารพลังงาน ระบบสื่อสาร และระบบรักษาความปลอดภัย พร้อมกันนี้ ให้ความรู้และสร้างการรับรู้กับตลาด บริษัทเตรียมงบการตลาดไว้ประมาณ 3 แสนบาทต่อเดือน รวมถึงจะทำงานร่วมกับกับผู้รับเหมาก่อสร้าง บริษัทตกแต่งภายใน อบรมให้ความรู้กับช่างไฟ ช่วยกันผลักดันให้ตลาดเติบโต

อีกหนึ่งจุดต่างที่จะทำให้ลูกค้าเข้ามาใช้บริการคือระบบที่ควบคุมได้แบบครบวงจร ต่างกับผู้ผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์ไฟฟ้าที่อาจโฟกัสเฉพาะผลิตภัณฑ์ของตนเอง

อย่างไรก็ตาม ด้วยปัญหาใหญ่ในไทยคือบริการหลังการขาย บริษัทจึงให้ความสำคัญส่วนนี้อย่างมาก โดยจะรับประกันอุปกรณ์ 2 ปี แก้ปัญหาให้ภายใน 24 ชั่วโมง

บริษัทตั้งเป้าไว้ว่า ปี 2560 จะทำรายได้ได้ไม่น้อยกว่า 20 ล้านบาท จากนั้นเติบโตระดับ 50% ทุกปี ภายใน 3 ปีนี้ไม่ได้หวังผลกำไร ทว่าจะนำรายได้ที่ทำได้มาลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยแต่ละปีวางงบประมาณไว้ไม่น้อยกว่า 10 ล้านบาท

ล่าสุดอยู่ระหว่างการสร้างโชว์รูมขนาด 500 ตรม. เพื่อให้ลูกค้าเข้ามาสัมผัสประสบการณ์จริง ใช้งบประมาณการลงทุนรวมตกแต่งและระบบสมาร์ทโฮม 15-20 ล้านบาท การให้ความ

พร้อมระบุว่า เตรียมนำสินค้าเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาอวดโฉมในไทย ในมหกรรมแสดงสินค้าเทคโนโลยีสมาร์ทโฮมและระบบรักษาความปลอดภัย “จีดีเอสเอฟ ไทยแลนด์ 2016” ที่จะจัดพร้อม “เอสเอ็มเอโฮม ไทยแลนด์ 2016” วันที่ 1-3 ก.ย.2559 ไฮไลต์ยังมีเวทีเจรจาธุรกิจพร้อมสัมมนาทางเทคโนโลยีซึ่งเกี่ยวข้องกับการนำไอโอที บิ๊กดาต้ามาใช้ รวมถึงการพัฒนาสมาร์ทซิตี้กว่า 10 หัวข้อ