"แลนดี้โฮม" ชี้ภาษีที่ดินหนุนเร่ง‘สร้างบ้าน’

นางสาวภัทรา มณีรัตนะพร ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและออกแบบผลิตภัณฑ์ บริษัท แลนดี้ โฮม(ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า สถานการณ์ทางการเมืองที่มีความชัดเจนมากขึ้นเป็นปัจจัยบวกที่ส่งผลดีต่อภาวะเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นประชาชน ทำให้ภาพรวมธุรกิจรับสร้างบ้านปรับตัวดีขึ้นจากช่วงครึ่งปีแรก คาดว่าปีนี้ตลาดเติบโต 5-10% โดยมีมูลค่ารวม 1.2 หมื่นล้านบาท

ประการสำคัญ ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ที่จะมีผลบังคับใช้ในปี 2560 เป็นปัจจัยเร่งให้ผู้มีที่ดินเปล่ารอการปลูกสร้างบ้าน ตัดสินใจสร้างบ้านเร็วขึ้น ก่อนที่กฎหมายมีผลบังคับใช้ เพราะจะต้องเสียภาษีหากปล่อยให้ที่ดินรกร้างว่างเปล่า โดยช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ได้เห็นสัญญาณจากจำนวนลูกค้าเข้ามาติดต่อรับสร้างบ้านกับบริษัทมากขึ้น

ทั้งนี้ บริษัทได้เตรียมความพร้อมโดยวางกลยุทธ์ขยายตลาดต่อเนื่อง มุ่งเน้นพัฒนาระบบการก่อสร้างและนวัตกรรมการอยู่อาศัยใหม่ๆ รวมถึงการขยายศูนย์รับสร้างบ้านให้ครอบคลุมทั้งกรุงเทพฯ ปริมณฑล และจังหวัดเศรษฐกิจ พร้อมจัดตั้งหน่วยงานพัฒนาแบบบ้านให้มีความหลากหลาย รองรับไลฟ์สไตล์และความต้องการของลูกค้ายุคใหม่ โดยใช้โปรแกรมการออกแบบและปรับแบบ “3 ดี ดีไซน์” ที่จะทำให้ลูกค้าเห็นภาพบ้านในฝันก่อนสร้างจริง

“ที่ผ่านมา ปัญหาที่ลูกค้ามีในเรื่องแบบบ้านที่ไม่โดนใจ มีแบบให้เลือกจำกัด หรือฟังก์ชั่นการใช้งานที่ไม่ตอบโจทย์ ทำให้ลูกค้ามุ่งไปบริษัทออกแบบก่อนที่จะเข้ามาที่บริษัทรับสร้างบ้าน อาจต้องเสียค่าใช้จ่ายมากขึ้น”

ล่าสุด บริษัทเปิดตัวแบบบ้านซีรี่ส์ใหม่ 6 แบบ ภายใต้แนวคิดการใช้ชีวิตของกลุ่มคนในปัจจุบัน ที่มีไลฟ์สไตล์และความชื่นชอบแตกต่างกันออกไป แต่สามารถอยู่อาศัยในบ้านหลังเดียวกันได้อย่างมีความสุข เจาะกลุ่มลูกค้าต่างจังหวัด และกลุ่มคนเพิ่งแต่งงาน รวมถึงครอบครัวขยาย

“ในอนาคตธุรกิจรับสร้างบ้าน จะมุ่งแข่งขันพัฒนาแบบบ้าน นวัตกรรมการก่อสร้างที่จะเข้ามาเติมเต็มความต้องการของลูกค้า ด้วยจุดขายที่แตกต่างอย่างชัดเจน เพื่อแข่งขันในตลาดได้ในทุกเซ็กเมนต์”

ปีนี้บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้ 1,000 ล้านบาท เติบโต 5% ครึ่งปีแรกทำรายได้ 500 ล้านบาท โดยครึ่งปีหลังบริษัทจะร่วม 3 งานใหญ่ ได้แก่ มหกรรมรับสร้างบ้าน ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ตั้งเป้ายอดขาย 100-150 ล้านบาท ช่วงปลายปีนี้ จะเข้าร่วมงานบ้านและสวนแฟร์ และงานใหญ่ ที่เซ็นทรัล พลาซา ลาดพร้าว ทั้ง 2 งาน คาดมียอดขายรวม 160-200 ล้านบาท