'หุ้นใหญ่' ตัดขายอิตาเลียนไทย

'หุ้นใหญ่' ตัดขายอิตาเลียนไทย

“เปรมชัย กรรณสูตร” รับเงินเข้ากระเป๋า 640 ล้านบาท คาดนำเงินไปใช้ส่วนตัว-ไม่กระทบบริษัท

จากรายงานการเปลี่ยนแปลงการถือหลักทรัพย์ของผู้บริหาร (แบบ 59-2) ของบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) ITD ตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา พบว่า นายเปรมชัย กรรณสูตร กรรมการผู้จัดการของบริษัท ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 สัดส่วน 826.95 ล้านหุ้น หรือ 15.66% ได้ขายหุ้นออกมา 59.38 ล้านหุ้น ราคาเฉลี่ย 6.74 บาท รวมมูลค่า 400.73 ล้านบาท

นอกจากนี้ยังมีรายงานการขายใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้น (ITD-W1) ออกมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่กลางปี 2558 รวมกว่า 173.17 ล้านหน่วย ราคาเฉลี่ย 1.42 บาท รวมมูลค่ากว่า 246.40 ล้านบาท

แหล่งข่าวผู้ถือหุ้นรายหนึ่ง เปิดเผยว่า การตัดขายหุ้นของคุณเปรมชัย เป็นเพียงการขายหุ้นออกไปส่วนหนึ่ง เพื่อชำระหนี้ส่วนตัว โดยเป็นการขายผ่านกระดานตามปกติ อย่างไรก็ตามเชื่อว่า จะไม่มีผลกระทบต่อการถือหุ้นอย่างมีนัยสำคัญ รวมถึงจะไม่มีผลกระทบต่ออำนาจในการบริหารงาน

สำหรับแนวโน้มของบริษัทอิตาเลียนไทย ต่อจากนี้ไป ประเด็นสำคัญ น่าจะอยู่ที่การลงทุนเหมืองโปแตซ ซึ่งขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการยื่นขอใบอนุญาตจากรัฐมนตรี หลังจากที่ผ่านการยอมรับของประชาชนแล้ว คาดว่าภายใน 3 เดือนน่าจะได้รับใบอนุญาตสำหรับแหล่งอุดรเหนือ ปริมาณ 2 ล้านตัน และหลังจากนั้นน่าจะใช้เวลาดำเนินการเพื่อเตรียมผลิตราว 2 ปีครึ่ง

ขณะที่ใบอนุญาตแหล่งอุดรใต้ ปริมาณ 2 ล้านตัน คาดว่าจะยื่นขอใบอนุญาตหลังจากที่บริษัทได้รับใบอนุญาตแหล่งอุดรเหนือแล้ว

“เรื่องราคาหุ้นอิตาเลียนไทยที่ปรับตัวลดลงมาก่อนหน้านี้ น่าจะเป็นผลจากการที่หุ้นยังขาดปัจจัยหนุน ขณะเดียวกันก็มีรายงานการขายหุ้นของเจ้าของออกมา อาจทำให้นักลงทุนส่วนหนึ่งกังวล ประกอบกับหุ้นอิตาเลียนไทยเองก็ค่อนข้างเป็นหุ้นมหาชน”

ทั้งนี้ โครงสร้างการถือหุ้นของอิตาเลียนไทยที่ผ่านมา สัดส่วนการถือหุ้นของนายเปรมชัยลดลงจาก 19.56% เมื่อปี 2556 มาอยู่ที่ 18.44% ในปี 2557 และลดลงต่อเนื่องมาอยู่ที่ 16.60% และ 15.66% เมื่อปี 2558 และ 2559 ตามลำดับ

สำหรับฐานะการเงินของบริษัทอิตาเลียนไทย ล่าสุดไตรมาสแรกของปีนี้บริษัท มีมูลค่าตามบัญชีอยู่ที่ 2.52 บาท ขณะที่ราคาหุ้นอยู่ที่ 6.70 บาท  

ราคาหุ้นซื้อขายต่ำ 'บุ๊คแวลู'

ความเคลื่อนไหวราคาหุ้นอิตาเลียนไทย (ITD) ที่ผ่านมา ค่อนข้างมีความผันผวนเป็นอย่างมาก โดยราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นจากจุดต่ำสุดเมื่อปี 2551 ที่ราว 1.7 บาท ขึ้นไปทำจุดสูงสุดราว 9.5 บาท เมื่อปี 2556 หลังจากนั้นราคาหุ้นลดลงอย่างรุนแรงไปทำจุดต่ำสุดที่ 3.22 บาท เมื่อต้นปี 2557 หลังจากนั้นราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างรุนแรงอีกครั้งตั้งแต่เดือน พ.ค. 2557 ไปทำจุดสูงสุดที่ 9.6 บาท เมื่อต้นปี 2558 ก่อนที่ราคาหุ้นจะค่อยๆ ปรับตัวลดลงต่อเนื่องมาอยู่ที่ราว 6.6 - 6.7 บาท ในปัจจุบัน

ขณะที่ผลประกอบการในช่วง 3 ปีที่ผ่านมานั้น (2556 - 2558) บริษัทมีรายได้รวม 45,055.18 ล้านบาท 49,186.64 ล้านบาท และ 52,044.97 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่กำไรสุทธิเมื่อปี 2556 ทำได้ 907.37 ล้านบาท ปี 2557 ลดลงมาอยู่ที่ 522.15 ล้านบาท และในปี 2558 ที่ผ่านมา พลิกเป็นขาดทุนสุทธิิ 361.74 ล้านบาท ส่วนไตรมาส 1/2559 มีรายได้รวม 13,245.06 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 68.50 ล้านบาท