“กิฟฟารีน”ลุยออนไลน์ครึ่งปีหลัง สู้ตลาดรีเทล-ขายตรง

“กิฟฟารีน”ลุยออนไลน์ครึ่งปีหลัง สู้ตลาดรีเทล-ขายตรง

กิฟฟารีน”จัดทัพแผนครึ่งปีหลัง เปิดเกมรุกออนไลน์ผ่านแอพพลิเคชั่น สู้ตลาดรีเทล-ขายตรง ลั่นรุกตลาดเวียดนามเต็มที่ปลายปีนี้

พญ.นลินี ไพบูลย์ ประธานกรรมการ บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด เปิดเผยถึงแผนงานของบริษัทในช่วงครึ่งปีหลังว่า บริษัทมีแผนจะรุกกลยุทธ์ออนไลน์มากขึ้น เพื่อปรับการดำเนินงานและการสื่อสารทางธุรกิจต่างๆให้สอดรับกับเทรนด์การทำธุรกิจออนไลน์ทั่วโลก ทั้งนี้ จะเริ่มเปิดตัวแอพพลิเคชั่น “Giffarine Expert”อย่างเป็นทางการในช่วงเดือน ส.ค.นี้ ซึ่งถือเป็นการลงทุนในสิ่งที่จะช่วยอำนวยความสะดวกให้นักธุรกิจในเครือมีเครื่องมือสื่อ ที่บรรจุคอนเทนท์เกี่ยวกับการขาย และการแนะนำสินค้าให้กับผู้บริโภค และเสริมศักยภาพการขายมากขึ้น โดยบริษัทตั้งเป้าหมายยอดดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่น กว่า2แสนดาวน์โหลด

ทั้งนี้ แอพพลิเคชั่นดังกล่าวยังมีข้อมูลอัพเดตกิจกรรมข่าวสารเพื่อแจ้งให้สมาชิกนักธุรกิจได้ทราบข้อมูลอย่างรวดเร็ว รวมถึงยังมีฟังก์ชั่นการบริการ“กิฟฟารีน เนียร์บาย”ภายในแอพพลิเคชั่น เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่นักธุรกิจ“กิฟฟารีน”ค้นหาพิกัดสาขาและไปรับสินค้าที่สาขาใกล้บ้าน ทั้งยังมีบริการเช็คยอดขายรวมที่นักขายทำได้ รวมถึงการนัดหมายและประชุมงานผ่านทางสื่อออนไลน์ต่างๆ ตลอดจนช่วยอำนวยความสะดวกกับการสมัครสมาชิกใหม่ โดยปัจจุบันช่องทางออนไลน์ในเว็บไซต์สามารถทำยอดขายได้กว่า120ล้านบาทต่อปี หรือเฉลี่ย5- 10 ล้านบาทต่อเดือน

ขณะเดียวกัน ในช่วงครึ่งปีหลังมีแผนพัฒนาสินค้าใหม่ๆทุกแคทิกอรี่ในเครือ รวมกว่า10รายการ เช่น ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เครื่องดื่มบิวตี้ดริงค์ ผลิตภัณฑ์ความงาม โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าคัลเลอร์คอสเมติก หรือเครื่องสำอางเฉดสีหลากหลาย หลังจากปัจจุบันผู้ผลิตหลายค่ายมุ่งเน้นแต่กลุ่มสินค้าสกินแคร์ เช่น โลชั่น หรือครีมบำรุงผิว เป็นหลัก ทำให้การแข่งขันในกลุ่มคัลเลอร์คอสเมติกยังมีไม่มากนัก ทั้งนี้ บริษัทวางงบการตลาดเฉพาะช่วงครึ่งปีหลังกว่า150ล้านบาท และปีนี้ถือเป็นปีแรกที่ทดลองไม่ทำโฆษณาในสื่อทีวี และเน้นสื่อออนไลน์เป็นหลัก หลังจากพิจารณาว่าปัจจุบันคนรับชมสื่อทีวีกันลดลง

สำหรับความคืบหน้าของแผนที่จะเข้าไปขยายธุรกิจในเวียดนาม ตอนนี้บริษัทได้ดำเนินการเซ็นใบสัญญาการอนุญาติให้นักลงทุนต่างชาติเข้าลงทุน100%ในเวียดนาม(IRC: Investment registration certificate)และใบอนุญาติการจัดตั้งบริษัทในเวียดนาม(Enterprise registration certificate)แล้ว โดยยังเหลือดำเนินเรื่องกับทางเวียดนามเพิ่มเติม ประกอบด้วย การขอใบอนุญาตดำเนินธุรกิจนำเข้าสินค้าจากไทยไปจำหน่ายในเวียดนาม รวมถึงขั้นตอนการขอใบอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา โดยคาดว่าจะเริ่มเข้าไปจัดตั้งสำนักงานและดำเนินธุรกิจในเวียดนามอย่างเต็มรูปแบบได้ภายในช่วงปลายปีนี้”