“ไต้หวัน” อาทิตย์อุทัยลายมังกร

“ไต้หวัน” อาทิตย์อุทัยลายมังกร

เชื่อเถอะว่า ประเทศนี้จะทำให้คุณประหลาดใจและหลงรักได้เพียงชั่วข้ามคืนจริงๆ

ถ้าเป็น 10 ปีก่อน ก็อาจจะมีคนสงสัยว่า “ไปทำไมไต้หวัน ไปขายแรงงานหรือไง” เดี๋ยวนี้มีแต่คนบอก “อิจฉาจัง ได้ไปไต้หวันเมืองในฝัน” หืออออ ... อารมณ์มันต่างกันขนาดนั้นเชียวหรือ


จะไม่ให้ต่างได้ยังไง ก็ในเมื่อ ไต้หวัน เป็นประเทศอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่คนไทยเดินทางไปขายแรงงานมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ปัจจุบันมีคนไทยอยู่ในไต้หวันเกือบ 1 แสนคน ถือเป็นชุมชนคนไทยที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 2 รองจากลอสแองเจลิส สหรัฐอเมริกา


แต่ในระยะ 4-5 ปีมานี้ ไต้หวันกลายเป็นจุดหมายปลายทางแห่งใหม่ที่นักท่องเที่ยวชาวไทยปลื้มใจหนักหนา และในช่วงที่ผ่านมา “การท่องเที่ยวไต้หวัน” เริ่มทำงานหนักขึ้น มีการประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวไปในประเทศต่างๆ รวมถึงประเทศไทย ทำให้นักท่องเที่ยวเริ่มเข้าใจแล้วว่า ไต้หวันไม่ใช่จีนจ๋า แม้ชื่อเต็มๆ ของประเทศจะระบุว่า “สาธารณรัฐจีน” ก็ตาม


แน่นอน รากเดิมอาจจะเป็นจีนผสมกับชนพื้นเมืองท้องถิ่น แต่ตลอดเวลาที่เติบโตมา ไต้หวันถูกบ่มเพาะนิสัยต่างๆ โดยนานาประเทศ ตั้งแต่ฮอลันดา สเปน จีน(ราชวงศ์ชิง) และญี่ปุ่น ที่ผลัดกันเข้ามายึดครองไต้หวัน ทำให้ไต้หวันมีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด โดยเฉพาะในช่วงที่ญี่ปุ่นเข้ามามีการพัฒนาด้านโครงสร้างพื้นฐานมากมาย ไต้หวันจึงซึมซับความเป็นญี่ปุ่นเข้ามาหลายอย่าง ทั้งเรื่องระเบียบวินัย และอุปนิสัยที่นอบน้อม ถือเป็นความผสมผสานที่ลงตัว จะเรียกว่า “พูดจีนแต่กินปลาดิบ” ก็คงได้


เมื่อไต้หวันน่าสนใจขนาดนี้จึงมีนักท่องเที่ยวทั้งหน้าเก่าและหน้าใหม่ปักหมุดการเดินทางไว้ที่ไต้หวันมากขึ้น นี่ยังไม่นับรวมความสนใจที่มีต่อวงการบันเทิงไต้หวันที่คล้ายๆ กันกับเกาหลีใต้ คือถ้าเกาหลีใต้มี “เรน” ไต้หวันก็มี “เจย์ โชว” นั่นแหละ


ไทเป เป็นเมืองหลวงใหญ่ของไต้หวัน และที่นี่ก็เป็นศูนย์กลางของทุกสิ่ง คล้ายๆ กับกรุงเทพมหานคร มีครบทุกสิ่งที่ต้องการ หลายคนจึงเลือกไทเปเป็นปลายทางหากต้องมาเยี่ยมเยือนไต้หวันเป็นครั้งแรก


แต่ก็อย่างที่บล็อกเกอร์ผู้หลงใหลไต้หวันหลายๆ คนเคยบอกไว้ ไทเปไม่ใช่ทั้งหมดของไต้หวัน แล้วจะมัวรออะไรกัน ออกไปดู ออกไปรู้ ออกไปเห็น ออกไปสัมผัสความเป็นไต้หวันตั้งแต่หัวจรดเท้ากันดีกว่า


-1-


พอเริ่มเป็นที่รู้จัก ก็มีสายการบินต่างๆ พุ่งเป้ามาที่ไต้หวันมากขึ้น แต่หลายคนก็ยังวางใจใช้บริการสายการบินไชน่า แอร์ไลน์ ที่เป็นสายการบินประจำชาติไต้หวัน เราเองก็เช่นกัน


นกเหล็กตัวโตร่อนลงอย่างอ่อนโยนพร้อมแตะพื้นรันเวย์ที่สนามบินนานาชาติเถาหยวน ซึ่งเป็นสนามบินหลักของไทเป หลังผ่านพิธีตรวจคนเข้าเมืองเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลารับสัมภาระ ปรับเวลา และจัดแจงกับโลกแห่งการติดต่อสื่อสาร สาวกโลกโซเชียลถ้าไม่เช่าพ็อกเก็ตไวไฟที่สนามบินในเมืองไทยมา ก็สามารถซื้อซิม 4G ที่ไต้หวันก็ได้ ราคาไม่แพงมาก รู้สึก 6 วันจะแค่ 300 บาทเท่านั้น


จากเถาหยวนเราเดินทางโดยรสบัสเลาะภาคตะวันตกลงมาทางใต้ของประเทศโดยมีหมุดหมายอยู่ที่เมืองไถจงเป็นแห่งแรก ซึ่งไถจงเป็นมณฑลขนาดใหญ่ กินพื้นที่ตั้งแต่ภาคตะวันตกผ่านใจกลางประเทศไปจนเกือบจะสุดเขตตะวันออกโน่นแหละ


ที่ไถจงเรามีโอกาสเดินทางไป หมู่บ้านสายรุ้ง ซึ่งเป็นหมู่บ้านทหารผ่านศึกมาก่อน แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็มีนายทหารหลายๆ คนโยกย้าย หรือบ้างก็เจ็บป่วยล้มตาย จึงเหลือสมาชิกในหมู่บ้านน้อยลง ทางการไต้หวันจึงต้องการยุบหมู่บ้านนี้เพื่อพัฒนาพื้นที่


แต่ด้วยความรักและหวงแหนในถิ่นที่อยู่ คุณปู่ “หวง หยุง ฝู” ซึ่งเป็นอดีตทหารผ่านศึกจึงลงมือวาดภาพด้วยสีต่างๆ ลงบนพื้น ผนัง กำแพง หน้าต่าง จนหมู่บ้านขนาดเล็กแห่งนั้นกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวสุดฮิปขึ้นมา แน่นอนว่า ทางการยกเลิกโครงการยุบหมู่บ้าน แล้วเปลี่ยนมาเป็นช่วยกันอนุรักษ์สถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์แห่งนี้แทน


ทุกวันนี้คุณปู่ฝูวัย 93 ปี ยังเป็นเจ้าบ้านที่ดีนั่งต้อนรับนักท่องเที่ยวที่เข้าไปเยี่ยมชม พร้อมแจกลายเซ็นไว้เป็นที่ระลึก หรือใครจะช่วยอุดหนุนผลงานของที่ระลึกจากฝีมือการวาดภาพของคุณปู่ก็ถือเป็นเรื่องดีที่ได้ช่วยเหลือกัน


มาถึงไถจงทั้งที ถ้าไม่ได้เดิน ตลาดกลางคืนฝงเจี่ย อาจจะพลาดอะไรไปเยอะ เพราะฝงเจี่ยเป็นตลาดกลางคืนที่ใหญ่ที่สุดในไต้หวัน แถมตั้งอยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัย เวลาเดินจึงค่อนข้างสดใสอารมณ์ดี เพราะมีหนุ่มๆ สาวๆ นักศึกษาเดินผ่านมาให้ยลโฉมกันตลอด ส่วนสินค้าก็มากมายสมเป็นตลาดใหญ่ สาวกสนีกเกอร์เมืองไทยได้ควักสตางค์แบงก์ใหญ่ก็คราวนี้


ก่อนจากเมืองไถจงเราแวะไปถ่ายรูปสวนสวยๆ ที่ Summit Resort อารมณ์คล้ายๆ “กฤษดาดอย” จังหวัดเชียงใหม่ คือเป็นรีสอร์ทที่ให้ความสำคัญกับการจัดสวน ขายบัตรให้นักท่องเที่ยวเข้ามาถ่ายภาพ เพราะนอกจากดอกไม้สีสันต่างๆ ก็ยังมีปราสาทสไตล์ยุโรปหลังโตที่ตั้งโดดเด่นอยู่ท่ามกลางสีเขียวๆ ของภูเขา เหล่าบรรดาหนุ่มสาวที่กำลังเตรียมวิวาห์มักจะมาถ่ายภาพพรีเวดดิ้งกันที่นี่


-2-


ขยับลงมาเรื่อยๆ จนถึงเมืองลู่กัง ซึ่งเป็นเมืองท่าโบราณที่มีความคลาสสิก เมืองนี้มีผังเมืองที่ดี เพราะก่อสร้างด้วยหลักของการอิงธรรมชาติ คือมีซอยที่เล็กและแคบมากเพื่อชะลอกระแสลม หรือป้องกันไฟไหม้ที่อาจลุกลาม หมู่บ้านต่างๆ ในละแวกนี้ยังรักษาสภาพอาคารบ้านเรือนไว้ได้ดี จนมี ถนนโบราณลู่กัง เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่น่าไปเดิน


ส่วนใครที่เป็นศิษย์วัดหลงซาน ต้องบอกว่าที่ลู่กังก็มี วัดหลงซานลู่กัง ให้แวะเข้าไปไหว้สักการะ บรรยากาศภายในวัดค่อนข้างเงียบสงบ สถาปัตยกรรมต่างๆ งดงามไม่แพ้วัดหลงซานในเมืองไทเป เพียงแต่บางส่วนถูกกร่อนด้วยกาลเวลา จึงต้องมีการบูรณะซ่อมแซมอยู่ตลอด


เราออกเดินทางเมื่อถึงเวลาที่เหมาะควร คราวนี้ล่องลงมาจนถึงเมืองเจียอี้ ซึ่งมีสถานที่ท่องเที่ยวเปิดใหม่ให้ชมถึง 2 แห่ง แห่งแรกจะพลาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง เพราะที่นี่เป็นแหล่งรวมสมบัติชาติแห่งใหม่ของไต้หวัน นั่นคือ พิพิธภัณฑ์แห่งชาติ(กู้กง) สาขาภาคใต้ เปิดให้บริการปลายปี 2558 ที่ผ่านมา โดยนำโบราณวัตถุและสิ่งของล้ำค่าที่บอกเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ความเป็นมาของชนชาติจีนกว่า 5,000 ปีมาจัดแสดง


อีกแห่งคือ High-Heel Wedding Church ที่มีรูปทรงอาคารคล้ายกับรองเท้าแก้วของซินเดอเรลล่า แต่ว่าสูง 17 เมตร กว้าง 11 เมตร ตัวอาคารประดับประดาด้วยแผ่นกระจกสีฟ้าจำนวนกว่า 320 แผ่น เวลามองไกลๆ ดูสวยสดใสมากๆ ซึ่งแม้ที่นี่จะได้ชื่อว่าเป็นโบสถ์ แต่ก็ไม่มีพิธีกรรมทางศาสนาแต่อย่างใด เป็นเพียงแค่สถานที่ถ่ายรูปและจัดพิธีแต่งงานเท่านั้น


-3-


ระหว่างเดินทางเราพบว่ามีพื้นที่เกษตรกรรมให้ชมเยอะมาก และค่อนข้างเป็นระเบียบ สวยงาม ขนานไปพร้อมกันกับโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ แต่ดูไม่ขัดตา ซึ่งโรงงานต่างๆ นี่แหละที่ทำให้ไต้หวันพัฒนา และกลายเป็นประเทศอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ติดอันดับ Top 20 ของโลก


เราชอบไต้หวันในเรื่องของการจัดการพื้นที่ เพราะเขาทำได้ดี โดยเฉพาะโรงงานอุตสาหกรรมที่ปิดตัวลงหลายแห่งได้รับการพัฒนาให้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ดึงดูดเม็ดเงินมหาศาล ถ้าในไทเปก็อย่างเช่น “ศูนย์การสร้างสรรค์ซงซาน” ที่เปลี่ยนโรงงานยาสูบมาเป็นศูนย์สร้างสรรค์และการออกแบบของโลกยุคใหม่ หรืออดีตโรงงานสุราไทเปที่ตอนนี้เปลี่ยนเป็น “ศูนย์สร้างสรรค์ฮว๋าซาน” จัดแสดงงานศิลปวัฒนธรรมที่ผสานยุคเก่าใหม่ได้อย่างลงตัว


สำหรับอดีตโรงงานน้ำตาลที่ปัจจุบันกลายเป็น Ten Drum Culture Creative Park แห่งเมืองไถหนาน ที่นี่สร้างขึ้นตอนที่ญี่ปุ่นยึดครองไต้หวัน มีการผลิตน้ำตาลส่งกลับไปให้ชาวญี่ปุ่นบริโภคภายในประเทศ แต่เมื่อญี่ปุ่นแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 โรงงานน้ำตาลก็ปิดตัวลง


โรงงานถูกทิ้งร้างมาเนิ่นนาน ทว่า สภาพภายในต่างๆ ยังดูสวยงาม เหมาะที่จะปรับปรุงให้เป็นพื้นที่สร้างสรรค์ ประกอบกับ Ten Drum Art Percussion Group ที่ได้ปรับมุมมองในการแสดงใหม่ คือแทนที่จะเดินทางไปอวดฝีมือกลองให้คนอื่นชมทั่วโลก ก็ควรจะให้คนจากทั่วโลกเข้ามาชมการแสดงถึงถิ่นจะดีกว่า ว่าแล้วก็เช่าพื้นที่โรงงานน้ำตาลจัดเป็นหมู่บ้านวัฒนธรรมซะเลย เรียกว่า ไอเดียดี และยังเป็นพื้นที่โฆษณาประชาสัมพันธ์วัฒนธรรมที่ยอดเยี่ยมด้วย


-4-


ไม่ต่างกันกับ Metropolitan Living Development (MLD) ที่ตั้งอยู่ในเมืองเกาสง ที่นี่เคยเป็นโรงงานสแตนเลสเก่า แต่พอเอามาปัดฝุ่นใหม่ก็กลายเป็นศูนย์การค้าครบวงจรขนาดใหญ่และทันสมัยที่สุด เรียกว่าเก๋ไก๋ โดนใจนักเดินทาง เพราะมีทั้งร้านอาหาร ซุปเปอร์มาร์เก็ต ร้านหนังสือ ห้องสมุด จะหยุดเวลาไว้ตรงนั้นทั้งวันก็ยังไง


หรือถ้าใครเป็นอาร์ตตัวแม่ต้องไปที่ Pier-2 Art Center หรือ ศูนย์ศิลปะท่าเรือ 2 ซึ่งในอดีตเคยเป็นโกดังเก็บสินค้ามาก่อน แต่ตอนนี้ไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไร จึงมีการพัฒนาพื้นที่ให้กลายเป็นศูนย์ศิลปะริมน้ำสุดชิค คล้ายๆ กับเอเชียทีคบ้านเรา


แม้จะเป็นเมืองท่า เมืองอุตสาหกรรมหนักขนาดใหญ่ แต่เกาสงก็ยังมีอีกหลายๆ มุมที่น่ารัก ซึ่งการเดินทางก็สะดวกสบาย และเป็น 1 ใน 5 เมืองที่ดีที่สุดสำหรับการขี่จักรยานในเอเชียด้วย


รถบัสประจำทาง เป็นหนึ่งพาหนะที่นักท่องเที่ยวควรใช้ เพราะง่ายและประหยัด ซึ่งเราก็ใช้บริการรสบัสสาย 99 ในเมืองเกาสงเพื่อเดินทางไปยัง สถานกงสุลอังกฤษต๋าโก่ว หนึ่งในสถานที่ประวัติศาสตร์ที่มีสถาปัตยกรรมแบบอังกฤษที่งดงาม ในอดีตเคยเป็นที่ทำงานของกงสุล แต่ปัจจุบันเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่เมื่อมาเกาสงต้องไม่พลาด จากจุดชมวิวในสถานกงสุล สามารถสองลงมาเห็นอ่าวซีจึวันและอาคาร 85 ที่เป็นสัญลักษณ์ของเมืองเกาสงได้


ปิดท้ายค่ำคืนที่เกาสงด้วยการชม Formosa Boulevard Station สถานีรถไฟใต้ดินที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ลักษณะเป็น Dome of Light ประดับด้วยประจกสีขนาดใหญ่ ออกแบบโดยศิลปินชาวอิตาลี แต่ถ้าพอมีเวลาเดินขึ้นสถานีแล้วตรงไปชมความสวยงามของ Liuhe Night Market หน่อยก็ดี ตลาดนี้มีชานมไข่มุกแสนอร่อยให้ชิม


................


ไต้หวันได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะคนไทย ถามว่าทำไม ถ้าให้วิเคราะห์กันตามจริง ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะคนไทยเริ่มเบื่อญี่ปุ่นแล้วก็ได้ (แม้ญี่ปุ่นจะยกเลิกวีซ่าแล้ว) เพราะค่าครองชีพในญี่ปุ่นแพงกว่าเยอะ การเดินทางแต่ละครั้งจึงมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง


ในขณะที่ไต้หวันเองมีทั้งศิลปวัฒนธรรม ธรรมชาติ เทคโนโลยี หรือแม้แต่วิถีชีวิตที่น่ารัก เป็นระเบียบเรียบร้อยน้อยหน้าญี่ปุ่นซะเมื่อไร เห็นแบบนี้แล้วจะไม่ให้ “หลงรักไต้หวัน” ได้อย่างไร


.....................


การเดินทาง
สายการบิน China Airlines มีเที่ยวบินจากกรุงเทพ (BKK) ไปลงที่สนามบินเถาหยวน (TPE) ประเทศไต้หวันทุกวัน วันละ 3 เที่ยวบิน หรือจะบินจากกรุงเทพ (BKK) ไปสนามบินเกาสง (KHH) ที่อยู่ทางตอนใต้ของไต้หวันก็ได้ มีให้บริการทุกวัน วันละ 1 เที่ยวบิน ส่วนขากลับเลือกใช้บริการตามสะดวก ตรวจสอบตารางบินและรายละเอียดต่างๆ ได้ที่ www.china-airlines.com