โรงแรม-อสังหาฯ ลุยลงทุน เจาะกำลังซื้อโซนตะวันออก

นางสาวนวณัฐ สุขะมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มารวย เรียลเอสเตท จำกัด ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ ในเครือกลุ่มวิจิตรากรุ๊ป เปิดเผยถึงแผน 3 ปี (2560-2562) ว่า จะผลักดันธุรกิจเติบโตแบบก้าวกระโดด มีรายได้ 6,000-9,000 ล้านบาท หรือเฉลี่ยปีละ 2,000-3,000 ล้านบาท รองรับแผนนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (mai) ซึ่งอยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้

โดยแผนพัฒนาโครงการเน้นลงทุนพื้นที่ภาคตะวันออก เช่น ชลบุรี ฉะเชิงทรา สระแก้ว ซึ่งมีที่ดินสะสม 2,000 ไร่ ซึ่งโซนภาคตะวันออกเป็นทำเลที่มีศักยภาพสูง โดยฉะเชิงทรา เป็นเมืองเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม มีโรงงานมากกว่า 1,600 แห่ง บริษัทมีส่วนแบ่งตลาดในฉะเชิงเทรา 30% คาดปี 2560 จะเพิ่มเป็น 40-50% สระแก้ว เป็นพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ ทำให้มูลค่าการค้าสูงต่อเนื่อง เช่นเดียวกับชลบุรี เป็นเมืองเศรษฐกิจของภาคตะวันออก มีนิคมอุตสาหกรรมต่างๆ ทั้งเป็นเมืองท่องเที่ยวสำคัญ

“มารวย เอสเตท ก่อตั้งเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา เป็นไฟติ้งแบรนด์กลุ่มวิจิตรา เจาะตลาดระดับกลาง ราคา 2-5 ล้านบาท แบรนด์วิจิตรา เน้นบ้านระดับบน"

ช่วง 10 ปีที่ผ่านมา มารวยฯ พัฒนาทั้งหมด 10 โครงการ เป็นผู้นำตลาดแนวราบในโซนตะวันออก มีส่วนแบ่งตลาดมากกว่า 30% ปีนี้มีแผนเปิดตัว 3 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 2,100 ล้านบาท ได้แก่ บ้านมารวย ริเวอร์ไซต์ บางประกง, อรัญประเทศ และ สระแก้ว ปี 2560 เปิดอีก 3 โครงการ มูลค่ารวม 1,770 ล้านบาท ได้แก่ บ้านมารวย ฉะเชิงเทรา 2, อ่อนนุช-ลาดกระบัง และ บางพลี

อย่างไรก็ตาม บริษัทมีแผนซื้อกิจการคอนโดมิเนียมในประเทศแถบเอเชีย คาดลงทุน 500 ล้านบาทขึ้นไป ขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจาพันธมิตร ปีนี้บริษัทตั้งเป้ายอดขาย 1,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 100% จาก 500 ล้านบาทในปีก่อน และตั้งเป้ารายได้ 700-800 ล้านบาท

ทางด้านนายวิวัฒน์ ตั้งจิตกอบบุญ ผู้อำนวยการกลุ่มคอร์ปอเรต เคป แอนด์ แคนทารี โฮเทลส์ ในเครือเกษมกิจ กล่าวว่า ขณะนี้พบว่ามีกลุ่มนักลงทุนขยายธุรกิจโรงแรมและเซอร์วิสอพาร์ทเมนต์ย่านศรีราชา จ.ชลบุรี เป็นจำนวนมาก ปัจจุบันมีห้องพักราว 4,000 ห้อง อยู่ระหว่างก่อสร้าง 2,700 ห้อง คาดปี 2560 โรงแรมในศรีราชาจะมีห้องพักกว่า 6,700 ห้อง เพิ่มขึ้น 50% ส่วนใหญ่เจาะตลาดไฮเอนด์ ส่งผลให้การแข่งขันมีแนวโน้มรุนแรง

ทั้งนี้ กลุ่มเคป มีโรงแรมในศรีราชารวม 4 แห่ง 700 ห้อง ระดับ 3-5 ดาว มีอัตราเข้าพักเฉลี่ยสูงสุดเทียบโรงแรมที่มีอยู่ทั่วประเทศ สะท้อนถึงความต้องการของตลาดซึ่งมีศักยภาพจากเขตนิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่จำนวนมาก อาทิ นิคมอุตสาหกรรมปิ่นทอง, เครือสหพัฒน์, แหลมฉบัง, อมตะนคร, เหมราช อีสเทิร์น ซีบอร์ด และ สยามอีสเทิร์น พบว่ามีความต้องการที่พักระดับไฮเอนด์รองรับผู้บริหารชาวต่างชาติ โดยเฉพาะตลาดญี่ปุ่นที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดชุมชนชาวญี่ปุ่นในพื้นที่

“ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวและห้องพักที่เพิ่มขึ้นจะทำให้การแข่งขันของธุรกิจโรงแรมรุนแรงที่สุดในรอบ 14 ปี ซึ่งต้นปีได้เริ่มเห็นสัญญาณลดราคาห้องพัก 20-30% เพื่อดึงลูกค้า”

บริษัทวางกลยุทธ์ไม่แข่งด้านราคา โดยมุ่งปรับปรุงห้องพักให้ทันสมัย เพิ่มบริการเสริม สร้างมูลค่าเพิ่ม เช่น เพิ่มบริการซักรีดและอินเทอร์เน็ตฟรี พร้อมสร้างความประทับใจต่อลูกค้าหลักชาวญี่ปุ่น เช่น จัดกิจกรรมสำหรับแม่บ้านและครอบครัว เช่น ทัวร์สวนผลไม้ เรียนทำอาหาร